นางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. เอแอลที เทเลคอม (ALT) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ถึงแผนการดำเนินงานในปี 62 ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 62 จะเติบโตขึ้นจากปีก่อน โดยมุ่งเน้นการเติบโตในธุรกิจให้บริการเช่าใช้วงจรระหว่างประเทศภายใต้การดำเนินงานของบริษัทย่อยคือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกทเวย์ จำกัด (IG) ซึ่งบริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเมื่อปลายปี 61 ด้วยการโอนทรัพย์สินของกิจการให้บริการแบนด์วิธให้ IG เป็นผู้ดูแล เพื่อความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพในการบริหารงาน
ทั้งนี้ IG ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม รวมถึง ใบอนุญาตการให้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ระหว่างประเทศและบริการชุมสายอินเทอร์เน็ตแบบที่ 2 ที่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง จากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเน้นการให้บริการแบนด์วิธแก่กลุ่มลูกค้าโทรคมนาคมในต่างประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งครอบคลุมประเทศเพื่อนบ้านครบทุกประเทศ ทั้ง เมียนมา, ลาว, กัมพูชา และมาเลเซีย
โดยได้รับสิทธิในการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านภาคพื้นดินผ่านจุดสถานีปลายทาง จำนวน 14 ด่าน และจุดเชื่อมต่อสถานีปลายทาง/เคเบิลใต้น้ำ (Terminal/Landing Station) เพื่อเชื่อมต่อกับ เคเบิลใต้น้ำ (Submarine Cable) จากต่างประเทศจำนวน 3 ตำแหน่ง ได้แก่ จังหวัดระยอง ทะเลอ่าวไทย, จังหวัดสงขลา ทะเลอ่าวไทย และ จังหวัดสตูลหรือจังหวัดใกล้เคียง ทะเลอันดามัน ซึ่งจุดเชื่อมต่อสถานีปลายทาง/เคเบิลใต้น้ำ ทั้ง 3 ตำแหน่งนี้ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะสถานีที่จังหวัดระยองที่รองรับการเติบโตจากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของรัฐบาล
ส่วนแผนงานการดำเนินงานของ ALT ในปี 62 ภายหลังการโอนขายโครงข่ายใยแก้วนำแสงจำนวน 24 คอร์ พร้อมวงจรและอุปกรณ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องตามแนวรถไฟฟ้าและทางหลวง (โครงการ SRT) ให้แก่ IG เพื่อให้บริการแบนด์วิธแล้ว นางปรีญาภรณ์ กล่าวว่า ALT ยังคงเหลือจำนวนคอร์เคเบิลบนโครงข่ายดังกล่าวที่เพียงพอต่อการให้บริการ Dark Fiber แก่ลูกค้าผู้ให้บริการโทรคมนาคม ทั้งที่เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต นอกจากโครงการ SRT แล้ว ALT จะเน้นการต่อยอดการลงทุนในโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสงความเร็วสูง (High Speed Fiber Optic) ที่ได้ลงทุนไปแล้วในสวนอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานี และโครงข่ายในมหาวิทยาลัย ทั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกเหนือจากนี้แล้วบริษัทฯได้วางแผนที่จะต่อยอดธุรกิจ โดยจะเข้าไปลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่อง เช่น กลุ่ม IoT, Smart City, BIG DATA โดยในปี 61 ที่ผ่านมา ALT ได้เข้าไปร่วมลงทุนในบริษัท สปอทเวิร์คซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Analytic และปัจจุบันยังมีบริษัทฯที่น่าสนใจและยังอยู่ในระหว่างการเจรจาร่วมลงทุนบริษัทที่มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องอยู่หลายรายทั้งในประเทศและต่างประเทศ และคาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนมากขึ้นในช่วงไตรมาส 2/62
ในงวด 9 เดือนของปี 61 ALT รายงานขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 199.6 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปี 60 มีกำไรสุทธิ 70.6 ล้านบาท