บล.เออีซี (AEC) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงนี้แกว่งในกรอบ 1,548-1,606 จุด โดยยังคงได้รับปัจจัยหนุนในช่วงสั้นเช่นเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ จากปัจจัยบวกที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยมุมมองต่อการดำเนินนโยบายการเงินที่มีลักษณะ Dovish มากขึ้น โดยจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับแผนลดขนาดงบดุลให้ยืดหยุ่นมากขึ้น หลังเห็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ บวกกับราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวเล็กน้อย จากความคาดหวังต่อกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และนอนโอเปก ที่จะลดลงตามข้อตกลง แต่ภาพระยะกลาง-ยาว คาดว่าตลาดมีโอกาสผันผวนสูง
ส่วนปัยจัยกดดันที่มีผลต่อการลงทุนในช่วงนี้ มาจากภาวะการชะลอตัวของภาคการผลิตในสหรัฐฯ-จีนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าจะยังคงถูกสะท้อนออกมาผ่านตัวเลขเศรษฐกิจ หลายตัวที่แย่กว่าที่ตลาดคาด ซึ่งแม้ในวันที่ 7 ม.ค.จะมีการประชุมร่วมกันในระดับ Mid Level แต่คาดยังไม่เห็นพัฒนาการเชิงบวกมากนัก และภาวะปิดหน่วยงานสหรัฐฯ ที่เริ่มกินเวลามากขึ้นเรื่อย ๆ จะเริ่มส่งผลต่อการบริโภคในประเทศ ซึ่งล่าสุดนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และวุฒิสภายังไม่สามารถได้ข้อสรุปร่วมกันต่อประเด็นงบสร้างกำแพงชายแดนเม็กซิโกได้ ทำให้คาดปัญหาดังกล่าวมีโอกาสยืดเยื้อออกไปอีกระยะหนึ่ง
นอกจานี้ยังมีความเสี่ยงจาก No-Deal Brexit สูงขึ้น หลังความขัดแย้งภายในรัฐบาลอังกฤษยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ฝ่ายค้าน ไม่ยอมสนับสนุนร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ซึ่งหากการประชุมในวันที่ 14 ม.ค. ยังไม่เห็นความคืบหน้ามากขึ้น จะทำให้ตลาดกลับมากังวลว่าอังกฤษอาจต้องออกจากสหภาพยุโรป (EU) แบบไร้ข้อตกลง ซึ่งจะสร้างผลกระทบให้กับเศรษฐกิจอังกฤษ และ EU
ดังนั้น จึงคงมุมมองระมัดระวังต่อปัจจัยจากต่างประเทศ และคาดว่าในช่วงสั้นกระแส Fund Flow จะยังไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่าสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อรอความชัดเจนของปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว โดยคาดว่า SET Index Sideway ในกรอบแนวรับ-แนวต้านที่ 1,548-1,606 จุด (Fwd PE Valuation ปีนี้ 13.4 เท่าถึง 13.6 เท่า ) โดยอิงจากปัจจัยลบทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งมีทั้งตัวเลขเศรษฐกิจทั้งในไทย และต่างประเทศ อาทิ จีน ยุโรป สหรัฐฯ ที่ยังคงชะลอตัว บวกกับปัญหาการปิดหน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐฯ และประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่ยังไม่คลี่คลาย ดังนั้น ในช่วงนี้ยังคงแนะนำทยอยสะสม 3 กลุ่มหุ้น Domestic Play โดยเฉพาะกลุ่มที่คาดว่ากองทุนให้ความสนใจ และมีการจ่ายเงินปันผลจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดได้สม่ำเสมอ ดังนี้ กลุ่มสื่อ PLANB, VGI และ MACO ,กลุ่มค้าปลีก ROBINS และ CPN และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA และ WHA