โบรกเกอร์แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) คาดผลประกอบการงวดไตรมาส 4/61 จะเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี 61 และต่อเนื่องในไตรมาส 1/62 จากปริมาณงานในมือ (backlog) ที่มีมากกว่า 1 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้เห็นความคืบหน้า.นการประมูลโครงการใหญ่อีกหลายโครงการในปีนี้ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเชื่อว่าการลงทุนของภาครัฐฯน่าจะเป็นนโยบายที่ทุกพรรคการเมืองใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งด้วย
ด้านราคาหุ้น STEC เผชิญกับการขายทำกำไรหลังพลาดงานรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ล่าสุดเริ่มฟื้นตัว และปัจจัยเร่งการประมูลมีมากขึ้นในไตรมาส 1/62 จึงมองระดับราคาหุ้นปัจจุบันเป็นโอกาสเข้าลงทุน
ราคาหุ้น STEC ต้นภาคบ่ายวันนี้อยู่ที่ 20.90 บาท ลดลง 0.30 บาท (-1.42%) ขณะที่ SET -0.20%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) บล.กสิกรไทย ซื้อ 30.10 บล.เอเชีย เวลท์ ซื้อ 27.00 บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 28.60 บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซื้อเก็งกำไร 29.00 บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 31.00
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ผลประกอบการของ STEC ในช่วงไตรมาส 4/61 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 61 และจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 1/62 ปัจจุบันบริษัทมี Backlog มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนปัจจัยเสี่ยงระยะสั้นนั้นยังแทบจะไม่มีเลย โดยราคาวัสดุก่อสร้างในช่วงที่ผ่านมาก็ปรับตัวลดลง และรัฐบาลชุดปัจจุบันจะยังคงรักษาการไปจนกว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารงาน ซึ่งเชื่อว่าจะมีการผลักดันโครงการต่าง ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
"STEC เป็นหุ้นที่เราชอบมาก ๆ อยู่แล้ว แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาราคาจะปรับตัวลดลงจากความกังวลเกี่ยวกับงานใหม่ ๆ ที่จะไม่ออกมา แต่ผมมองว่ากังวลมากเกินไป เพราะ STEC เองก็มีงานในมือรองรับค่อนข้างมาก และรัฐบาลชุดนี้ยังคงต้องรักษาการจนกว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเข้ามา จึงเชื่อว่าจะพยายามผลักดันงานต่าง ๆ ออกมา"นายประกิต กล่าว
ด้านบล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/61 อยู่ที่ 322 ล้านบาท ดีขึ้นเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 1.3 พันล้านบาทจากบันทึกขาดทุนงานก่อสร้างรัฐสภาใหม่ แต่ลดลงเมื่อเทียบไตรมาส 3/61 จากค่าใช้จ่ายที่อาจจะมีการบันทึกเข้ามาในไตรมาส 4/61 อาทิ ค่าใช้จ่ายในการซื้อซองประกวดราคาของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินประมาณ 1 ล้านบาท
ทั้งนี้ มองว่ารายได้ในปี 62 จะยังเติบโตดีต่อเนื่อง จากปริมาณ Backlog ที่มีมากถึง 1.13 แสนล้านบาท นอกจากนี้งานก่อสร้างในมือหลายงานยังเป็นงานที่มีอัตราการทำกำไรที่ดี เช่น งานก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้ง 3 สาย รวมมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท และงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า 3 โรง รวมมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ที่เริ่มทยอยก่อสร้างไปแล้วในช่วงปี 61 และคาดว่าจะรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นตามความคืบหน้าของงานก่อสร้าง ทำให้มองว่าในปี 62-63 บริษัทจะกลับมามีอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 8% ได้เหมือนในอดีต
ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า แม้ว่ากลุ่มพันธมิตร BTS ที่ STEC ร่วมทุนราว 20% แพ้การประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในช่วง ธ.ค. 61 แต่ยังเห็นความคืบหน้าในการประมูลโครงการใหญ่อีกหลายโครงการในปีนี้ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับ EEC ไม่ว่าจะเป็น โครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา, ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานที่อู่ตะเภา, ท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 และท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3
นอกจากนี้ จะมีโครงการนอก EEC เข้ามาอีกในปีนี้ เช่น รถไฟฟ้าสีม่วง, ทางด่วน พระราม 3 ดาวคะนอง ทำให้งานรอประมูลยังหนาแน่นในปีนี้ ขณะที่เชื่อว่าการลงทุนภาครัฐในโครงการเหล่านี้ข้างต้นยังน่าจะเป็นนโยบายของพรรคการเมืองในการหาเสียง จึงมองบวกในด้านมูลค่างานใหม่ที่จะเข้าในตลาดก่อสร้างในปีนี้
สำหรับราคาหุ้น STEC เผชิญกับการขายทำกำไรหลังพลาดงานรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ล่าสุดเริ่มฟื้นตัว และหากประเมินจากราคาล่าสุดซื้อขาย P/B ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และปัจจัยเร่งการประมูลมากขึ้นในไตรมาส 1/62 จึงมองระดับราคาหุ้นปัจจุบันเป็นโอกาสเข้าลงทุน