นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่าในปี 62 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้นเป็น 3.0-3.2 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่คาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย 2.5 หมื่นล้านบาท พร้อมคาดว่าจะได้งานใหม่ไม่น้อยกว่า 3.5 หมื่นล้านบาทจากปีก่อน 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) มูลค่า 1.1 แสนล้านบาท โดยมีงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองเป็นหลัก ทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 4-5 ปี
สำหรับงานใหม่ที่ STEC คาดหวังในปีนิ้ นายภาคภุมิ กล่าวว่า จะเข้าร่วมงานประมูลโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ส่วนงานเอกชนเป็นงานก่อสร้างอาคารพาณิชย์ โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
โดยงานภาครัฐที่สำคัญและเป็นโครงการใหญ่ในปีนี้มีหลายโครงการมูลค่ามากกว่า 5 แสนล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาสนามบบินนานาชาติอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 2.7 แสนล้านบาท งานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-มีนบุรี มูลค่า 1.4 แสนล้านบาท โดย 2 โครงการดังกล่าว STEC จะจับมือร่วมกับ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BTS) และ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ในชื่อกลุ่มกิจการร่วมค้า บีเอสอาร์ (BSR Joint Venture)
โครงการให้เอกชนร่วมลงทุนดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance: O&M) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-นครราชสีมา มูลค่าราว 3.3 หมื่นล้านบาท และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี มุลค่าราว 2.8 หมื่นล้านบาท, รถไฟทางคู่ เฟส 2 นอกจากนี้ มองว่ายังมีการลงทุนโครงสร้างพื่นฐานในพื้นที่ EEC เพิ่มขึ้นด้วย
"ปีนี้คงต้องดูท่าทีรัฐบาลใหม่ว่าการลงทุนสาธารณูปโภคของรัฐจะต่อเนื่องหรือไม่ แต่เฉพาะโครงการที่รัฐบาลเก่าทำอยู่หลายแสนล้านบาทในปีนี้น่าจะเดินต่อเนื่อง"นายภาคภูมิ กล่าว
ส่วนโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่และอาคารประกอบ มูลค่าโครงการ 11,477 ล้านบาทที่เกิดความล่าช้าและทำให้บริษัทต้องตั้งสำรองเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจนถึงวันที่กำหนดงานแล้วเสร็จในวันที่ 15 ธ.ค.62 เป็นเงินประมาณ 3 พันล้านบาทนั้น แม้ว่างานที่เหลืออยู่มีรายได้ 3-4 พันล้านบาท แต่โครงการนี้ไม่มีกำไร เนื่องจากงานล่าช้าจากเดิมใช้เวลา 2 ปีครึ่ง ขยายเป็น 6 ปี อย่างไรก็ดี โครงการนี้มีรายได้สัดส่วน 10% ของรายได้ทั้งหมด ถือว่าไม่กระทบกับภาพรวมของบริษัทมากนัก