นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ปตท.ได้ลงนามสัญญาร่วมทุนโครงการหน่วยแยกอากาศ โดยใช้พลังงานความเย็นเหลือทิ้งจากก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในการผลิตก๊าซอุตสาหกรรม (Air Separation Unit :ASU) ร่วมกับ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (บีไอจี)
ทั้งนี้ ก๊าซอุตสาหกรรมชนิดต่าง ๆ ประกอบด้วย ไนโตรเจน ออกซิเจน และอาร์กอน เพื่อรองรับความต้องการใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ที่มีความต้องการ และขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยโครงการตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ใช้เงินลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท กำลังผลิตประมาณ 450,000 ตัน/ปี คาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2564 พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐในโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor : EFC)
สำหรับโครงการ Air Separation Unit เป็นหน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ปตท. ในการนำพลังงานความเย็นเหลือทิ้งจากกระบวนการเปลี่ยนสถานะของLNG จากของเหลวไปเป็นก๊าซมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งปัจจุบันพลังงานความเย็นนี้ถูกปล่อยไปกับน้ำทะเลจำนวนมาก ปตท. จึงได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการดังกล่าว ร่วมกับ บีไอจี ผู้นำนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมครบวงจรของประเทศไทยมายาวนานกว่า 30 ปี เพื่อจะช่วยลดต้นทุนในกระบวนการผลิตได้ รวมถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 28,000 ตัน/ปี และลดการปล่อยน้ำเย็นของธุรกิจ LNG ของ ปตท. หรือ PTTLNG ลงสู่ทะเลถึง 2,500 ตัน/ชั่วโมง
ทั้งนี้ จากการศึกษาร่วมกันพบว่า มีความเป็นไปได้ทั้งด้านเทคนิค และความคุ้มค่าต่อการลงทุนในเชิงพาณิชย์ จึงเกิดการร่วมทุนระหว่าง 2 องค์กรเพื่อจัดตั้งโครงการดังกล่าวขึ้นมา เพื่อตอบรับการขยายตัวอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด เป็นการ สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล
ด้านนายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ ของบีไอจี กล่าวว่า สำหรับโครงการนี้ บีไอจี ถือหุ้นในสัดส่วน 49% และ ปตท. ร่วมกับบริษัทในเครือ ปตท. ถือหุ้น 51% เป็นการรวมศักยภาพของทั้ง 2 องค์กร โดย บีไอจี มีความรู้ความชำนาญในด้านเทคโนโลยีการผลิต นวัตกรรม และการตลาดก๊าซอุตสาหกรรม ในขณะที่ ปตท. มีความรู้ความชำนาญในการบริหารจัดการด้านพลังงานกว่า 40 ปี ซึ่งโครงการหน่วยแยกอากาศที่ดำเนินการในครั้งนี้จะใช้เทคโนโลยีและมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก จากบริษัทแอร์โปรดักส์ (Air Products and Chemicals, Inc.) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบีไอจี และเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจ
นอกจากนี้ยังตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก สนับสนุนการจัดตั้งตลาดกลางผลไม้คุณภาพสูงในพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ในพื้นที่ที่มีศักยภาพ การร่วมมือกันระหว่างบีไอจี และ ปตท. ในครั้งนี้ จะสามารถนำไนโตรเจนที่ผลิตได้จากโครงการไปต่อยอดนวัตกรรมในการรักษาคุณภาพความสดใหม่ของผลไม้ก่อนที่จะนำไปเก็บในห้องเย็น ทำให้สามารถเก็บรักษาผลไม้ไว้ได้และมีคุณภาพที่ดีขึ้น เป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร ยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกษตรกรและมุ่งตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นมหานครผลไม้โลก