นายกิตติพันธ์ อนุตรโสตถิ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นปี 61 มีกำไรสุทธิ 6.9 ล้านบาท ลดลง 378 ล้านบาท หรือลดลง 98.2% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของปี 60 ขณะที่กำไรก่อนภาษีเงินได้อยู่ที่ 271.2 ล้านบาท ลดลง 217.6 ล้านบาท หรือลดลง 44.5% เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน 9.6% และการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิและรายได้อื่น 7.0% และ 2.6% ตามลำดับสุทธิกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 5.3% และการลดลงของสำรองหนี้สงสัยจะสูญ 2.6%
ส่วนรายได้จากการดำเนินงานในปี 61 อยู่ที่ 13,536.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 60 จำนวน 381.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.9% ซึ่งการเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 544.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.3% จากการขยายตัวของสินเชื่อและการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินลงทุน
รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงจำนวน 136.5 ล้านบาท หรือลดลง 7.0% เกิดจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมและบริการ รายได้จากการดำเนินงานอื่นลดลง 2.6% สาเหตุหลักมาจากการลดลงของกำไรสุทธิจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศสุทธิกับการลดลงของขาดทุนสุทธิจากหนี้สินทางการเงินที่กำหนดให้แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมและการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจำนวน 733.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.6% มาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การขยายงานของธนาคารภายใต้โครงการ "Fast Forward" และขาดทุนจากการขายทรัพย์สินรอการขาย เป็นผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานปี 61 อยู่ที่ 61.7% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ 57.9%
ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (NIM) อยู่ที่ 3.71% ลดลงจากปี 60 ที่ 3.89% เป็นผลจาก Yield on Earning Asset ลดลง และเงินให้สินเชื่อของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 227.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ด้านเงินฝากก็ได้เพิ่มขึ้น 6.5% จากสิ้นปี 60 ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 97.2% จาก 96.8% เมื่อปีก่อน
ด้านสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 9.9 พันล้านบาท หรือราว 4.3% ลดลง จากปีก่อนที่อยู่ที่ 4.8% เนื่องจากธนาคารมีมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การบริหารคุณภาพสินทรัพย์รวมถึงการปรับปรุงกระบวนการในการเรียกเก็บหนี้และมีการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในปี 61 ด้านการสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 107% เพิ่มขึ้น จากปีก่อนที่อยู่ที่ 93.2%
ขณะที่เงินสำรองของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่จำนวน 1.05 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินจากเงินสำรองขั้นต่ำตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 5 พันล้านบาท ส่วนเงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคารต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 19.3% โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 14.1%