นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะเปิดตัวคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนงาน 5 ปีที่เคยวางไว้
"การกระจายการลงทุนนั้นนับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการดำเนินงานของไรมอน แลนด์ เพื่อเป็นการขยายฐานสร้างโอกาสทางธุรกิจ ความมั่นคงและรายได้ให้กับองค์กร พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัท และยังถือเป็นการตอบแทนผลประโยชน์อันสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นอีกด้วย นอกเหนือจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ที่เป็นธุรกิจหลักบริษัทฯยังมีนโยบายที่จะต่อยอดธุรกิจไปสู่โครงการสำนักงานให้เช่า, ธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงธุรกิจทางด้านโรงแรม"นายลี กล่าว
ขณะที่บริษัทคาดว่าจะเปิดตัวอาคารสำนักงานให้เช่าภายในไตรมาส 2/62 ตามข้อตกลงการร่วมทุนกับพันธมิตร ซึ่งจะเป็นรูปแบบของโครงการมิกซ์ยูส ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดของถนนเพลินจิต ตรงข้ามศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอมบาสซี่ มีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 6 ไร่ และมีพื้นที่ให้เช่าโดยรวมประมาณ 65,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ทางโครงการยังได้มีการจัดสรรพื้นที่สำหรับสร้างศูนย์การแพทย์ เพื่อรองรับพันธมิตรซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัย มีความชำนาญทางด้านการทำเด็กหลอดแก้ว ผสมเทียม และการเก็บไข่แช่แข็ง ซึ่งคาดว่าจะเปิดบริการได้ตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป
บริษัทยังมีแผนงานที่จะร่วมทุนกับพันธมิตรทางการแพทย์มูลค่ากว่า 1.3 พันล้านบาทเพื่อตอบโจทย์การดูแลสุขภาพของทุกระดับ ที่เขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ทางบริษัทฯตั้งใจอย่างเต็มที่ที่จะทำงานร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการด้านสุขภาพ เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดในการอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพ และจะมีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีความนำสมัยมาปรับใช้สำหรับการบริการอย่างดีที่สุด รวมถึงยังมีการสร้าง "ศูนย์สุขภาพการเจริญพันธุ์" เพื่อให้คำปรึกษาด้านการมีบุตร รวมไปถึง "ศูนย์เวชศาสตร์การชะลอวัย" เพื่อรองรับความต้องการของผู้รับบริการแต่ละบุคคล ที่ครอบคลุมการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน
สำหรับธุรกิจด้านอาหาร และเครื่องดื่ม บริษัทฯยังคงดำเนินงานกับพันธมิตรกลุ่มบ้านหญิง (Baan Ying Group) อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายธุรกิจร้านอาหารต่อยอดจากสาขาที่มีอยู่ในสิงคโปร์ โดยมีแผนที่จะขยาย แฟรนไชส์ร้านอาหารออกสู่ภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ไต้หวัน กัมพูชา และจีน ในปีนี้
นายลี กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 62 อยู่ที่ 5 พันล้านบาท ซึ่งมาจากรายได้จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียม รายได้จากธุรกิจร้านอาหาร และรายได้จากธุรกิจโรงแรมใหม่ที่จะเปิดภายในปลายปีนี้ ซึ่งจะผลักดันให้ผลการดำเนินงานในปี 62 สามารถพลิกกลับมามีกำไรได้ เพราะในปีนี้จะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมเข้ามาเป็นจำนวนมาก ได้แก่ เดอะ ลอฟท์ สีลม, เดอะ ลอฟท์ อโศก, เดอะ ลอฟท์ สาทร และเดอะ ดิโพลแมท สาทร ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ราว 1.1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะทยอยโอนในปีนี้ราว 30% และยังมีรายได้จากธุรกิจอาหารเข้ามาเต็มปี ขณะที่ในช่วงปลายปีจะมีรายได้จากโรงแรมใหม่ย่านเจริญนครเข้ามาด้วย ส่วนยอดขายในปี 62 บริษัทตั้งเป้าอยู่ที่ 2.5-3 พันล้านบาท โดยจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ ในกรุงเทพฯย่านสุขุมวิท 38 และพญาไท ซึ่งเป็นไปตามแผนมูลค่าการเปิดโครงการใหม่เฉลี่ยปีละ 1-1.5 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่าโครงการใดจะเป็นการร่วมลงทุนกับพันธมิตร
พร้อมกันนี้บริษัทยังหันไปเน้นการลงทุนธุรกิจที่เป็นรายได้ประจำ (Recuring Income) มากขึ้น เพราะแนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในส่วนของที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯจะเริ่มเห็นการซบเซาลงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวทำให้ลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติชะลอการซื้อที่อยู่อาศัย ทำให้บริษัทต้องปรับตัวและกระจายความเสี่ยง โดยวางแผนที่จะลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำต่อเนื่องปีละ 3-5 พันล้านบาท และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำกับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายใน 10 ปีข้างหน้าไว้ที่ 50:50 จากปัจจุบันที่ 5:95 โดยในช่วงแรก คือ ปี 66 สัดส่วนรายได้ประจำกับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายจะอยู่ที่ 30:70 หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท
โดยในส่วนของการเพิ่มรายได้ประจำนั้นบริษัทวางแผนลงทุนในธุรกิจโรงแรม ซึ่งจะมีการลงทุน 2 โรงแรมที่เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ และบริหารด้วยตนเอง ซึ่งโรงแรมใหม่ที่จะเปิดในปลายปีนี้เป็นรูปแบบ Food Hotel ตั้งอยู่ในโครงการเดอะ รีเวอร์ ซึ่งเป็นการรีโนเวทอาคารพื้นที่ค้าปลีก Vue มาเป็นโรงแรม 70 ห้อง เงินลงทุนกว่า 100 ล้านบาท จะเปิดให้บริการภายในปลายปี 62 และอีก 1 โรงแรมในย่านสุขุมวิท 300 ห้อง มีคอนเซ็ปต์ที่ทันสมัยโดยการใช้เทคโนโลยีมาเป็นการนำเสนอ ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปีนี้ และจะเปิดให้บริการอีก 2 ปี โดยทั้ง 2 โรงแรมมีมูลค่ารวม 4 พันล้านบาท และอยู่ระหว่างการศึกษาเข้าซื้อ 1 โรงแรมในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้
ด้านการลงทุนธุรกิจการแพทย์ร่วมกับพันธมิตรที่เขาใหญ่ และอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของบริษัทที่เพลินจิต กรุงเทพฯ ปัจจุบันได้มีการสรุปพันธมิตรทางการแพทย์ระดับโลกแล้ว 1 ราย ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการแพทย์ และมีศูนย์การแพทย์อยู่ในสิงคโปร์ ออสเตรเลีย และจีน โดยที่บริษัทจะประกาศความร่วมมืออีกครั้งภายในครึ่งแรกของปีนี้ โดยโครงการด้านสุขภาพที่เขาใหญ่ มูลค่า 1.3 พันล้านบาทจะเป็นโครงการที่ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมและศูนย์สุขภาพ บนพื้นที่ 40 ไร่ ในโครงการทอสคาน่าเขาใหญ่ ซึ่งบริษัทจะร่วมมือกับอีก 1 พันธมิตรพัฒนาโครงการคอนโดนิเนียมแห่งนี้
ส่วนแหล่งเงินทุนของบริษัทเพื่อรองรับการลงทุนในปีนี้นั้นจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน การร่วมทุนกับพันธมิตร และอยู่ระหว่างการพิจารณาออกหุ้นกู้ในปีนี้อีกมูลค่า 2 พันล้านบาท