KC เล็งทยอยปรับขึ้นราคาขายบ้าน 10%-ลดขนาด,ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 2 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 18, 2008 11:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้(KC)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทเตรียมปรับเพิ่มราคาขายบ้านเฉลี่ย 10% ตามภาวะต้นทุน พร้อมปรับกลยุทธ์ลดขนาดบ้าน คุมตลาดบ้านระดับ 2-3 ล้านบาท คาดปี 51 ยอดขายที่ 2,000 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 1,500 ล้านบาท พลาดจากเป้าหมายจากผลกระทบเศรษฐกิจชะลอและความไม่ชัดเจนเรื่องการเมืองทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อบ้าน แต่เชื่อว่าจะดีขึ้นในปีนี้ โดยปัจจุบันบริษัทมีที่ดิน 300-400 ไร่ สามารถรองรับการพัฒนาโครงการใน 3-4 ปีข้างหน้า
*ทยอยขึ้นราคาบ้านหลังต้นทุนขึ้นจนสุดอั้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.51 บริษัทจะทยอยปรับราคาขายที่อยู่อาศัยทั้งโครงการบ้านเดี่ยวและทาวเฮ้าส์เพิ่มเฉลี่ยประมาณ 10% หลังจากประเมินสถานการณ์พบว่าต้นทุนปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ทำให้ราคาวัตถุดิบปรับสูงขึ้นตาม
พร้อมทั้ง มีแนวทางลดขนาดพื้นที่บ้านระดับบน กลาง และระดับล่าง ทำให้ราคาขายบ้านลดลงตามไปด้วย ประกอบกับปัจจุบันผู้บริโภคมีความต้องการบ้านแนวราบในราคา 2-3 ล้านบาท
บริษัทยังมีแผนพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียม ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยมองที่ดินย่านพระราม 9 และย่านประชาชื่นไว้ สาเหตุที่บริษัทหันมาพัฒนาคอนโดมิเนียม เนื่องจากความต้องการยังมีต่อเนื่อง ถึงแม้ผู้ประกอบการบางรายจะเห็นว่าในปี 51 นี้ โครงการแนวราบจะกลับมาฟื้นตัวแล้วหลังจากปี 50 ตลาดชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจก็ตาม
"บริษัทเชื่อว่าตลาดแนวราบจะมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในตลาดหันไปพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ทำให้มีสินค้าแนวราบคงค้างอยู่ในตลาดด้วย และโอกาสบ้านที่สร้างใหม่ก็ยังมี"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการในมือรวม 15 โครงการ และในเดือนเม.ย.นี้จะเปิดตัวเพิ่มอีก 1 โครงการมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทย่านสุวินทวงศ์ เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น และมีบ้านเดี่ยว 1 ชั้นด้วย ซึ่งในปีนี้เรายังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ขณะที่โครงการคอนโดมีเนียมก็จะเป็นทางเลือกใหม่ของบริษัท โดยบริษัทมีที่ดิน 300-400 ไร่ สามารถรองรับการพัฒนาโครงการใน 3-4 ปีข้างหน้า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปีนี้ปัญหาหนักสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือ ราคาน้ำมันที่ทำให้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทก็ได้รับผลกระทบด้วย การปรับขึ้นราคาขายคงจะเป็นการทยอยปรับเพราะเกรงจะกระทบกับกำลังซื้อ และหากการเมืองไม่นิ่งก็จะบั่นทอนไปเรื่อยๆ
"ภายใต้ปัจจัยกดดันหลายเรื่องคงจะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของแต่ละบริษัทที่จะนำมาใช้เพื่อเพิ่มรายได้"นายอภิสิทธิ์กล่าว
*เปิดกว้างพันธมิตรเข้าลงทุน/ถือหุ้น ร่วมพัฒนาอาคารสูง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดกว้างรับพันธมิตรมาตลอด เนื่องจากมีเป้าหมายต้องการเป็นผู้นำในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางเร็วขึ้น
ในช่วงที่ผ่านมามีการเจรจากับพันธมิตรต่างประเทศ 3-4 ราย เช่นประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง ที่เข้ามาหารือกับบริษัทแต่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารขึ้นเสียก่อน ทำให้การเจรจาต้องชะลอออกไป และหากสถานการณ์ในประเทศปรับตัวดีขึ้น ก็มีโอกาสจะกลับมาเจรจากันใหม่ โดยเท่าที่หารือกันพันธมิตรก็แสดงความสนใจทั้งการเข้าร่วมลงทุนและเข้ามาถือหุ้นในบริษัท
แต่อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบแต่คงจะเลือกพันธมิตรเพียงรายเดียว โดยเฉพาะในการพัฒนาโครงการประเภทอาคารสูง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ