นายอัครเดช โรจน์เมธา ประธานกรรมการบริหาร บมจ. โซลาร์ตรอน (SOLAR) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างหารือพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมทุนกับบริษัท ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงปลายไตรมาส 1
พันธมิตรมีความจำเป็นในการขยายธุรกิจเพราะธุรกิจโซลาร์เซลล์ต้องใช้เงินทุนสูง แต่อย่างไรก็ตาม พันธมิตรดังกล่าว จะต้องมีโนฮาวเพื่อจะทำให้บริษัทผลิตโซลาร์เซลล์ที่มีขนาดใหญ่รองรับการส่งออกจากปัจจุบันที่ภายในประเทศที่หดตัว อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้บริษัทในอนาคต
"หลังมีพันธมิตรเชื่อว่ารายได้จะโตก้าวกระโดดในปี 52"นายอัครเดช กล่าว
นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 700 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรจากประเทศเยอรมนีเพื่อรองรับการผลิตเซลล์ต้นน้ำ และหากโรงงานดังกล่าวติดตั้งเสร็จภายในกลางปีนี้ จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มอีก และคาดว่าจะกู้เงินอีกราว 700 ล้านบาท เพื่อรองรับการซื้อวัตถุดิบในอนาคต
"เราเชื่อว่าสามารถสรุปพันธมิตรได้และยิ่งโรงงานเสร็จทันยิ่งทำให้ต้นทุนลดลง 20% เพราะทำตั้งแต่ต้นน้ำ และยังสามารถแข่งขันกับตลาดในต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์หลักของเราในปีนี้ที่จะให้ความสำคัญในเรื่องพันธมิตรเพื่อต่อยอดการส่งออกเพราะปัจจุบันต่างประเทศสนใจนำไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าและมีขนาดใหญ่ 190-200 วัตต์ ซึ่งราคาแพง"นายอัครเดช กล่าว
นายอัครเดช กล่าวอีกว่า หากโรงงานเสร็จตามกำหนดจะทำให้บริษัทหันไปให้ความสำคัญกับการส่งออกมากขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 ปีนี้ จะทำให้สัดส่วนรายได้ส่งออกเพิ่มเป็น 70-80% จากปัจจุบันไม่ถึง 10% เนื่องจากความต้องการของตลาดในประเทศชะลอตัว ขณะที่ความต้องการในต่างประเทศมีสูง
อย่างไรก็ตาม แม้ความต้องการแผงโซลาร์เซลส์ภาครัฐในประเทศไม่โต แต่ความต้องการของภาคเอกชนก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการในแหล่งท่องเที่ยว เช่น รีสอร์ทและโรงแรมตามหมู่เกาะต่างๆที่ไฟฟ้าเข้าไปไม่ถึง
นายอัครเดช กล่าวถึงแนวโน้มราคาน้ำมันว่า หากราคาน้ำมันปรับขึ้นสูงกว่า 100 เหรียญดอลลาร์/บาร์เรล จะเป็นตัวกระตุ้นให้คนหันมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ซึ่งการที่เราผลิตแผงโซลาร์เซลล์ที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์จะมีต้นทุนถูกเมื่อเทียบกับผู้ประกอบธุรกิจอื่นที่ใช้พลังงานที่ผลิตจากสินค้าเกษตรที่ยังมีความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของราคา
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/นิศารัตน์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--