นายอภิชาติ ชโยภาส กรรมการผู้จัดการ บมจ.ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ (RP) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 62 ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยจะมุ่งเน้นการจำหน่ายตั๋วผ่านทางออนไลน์ หรือ "RP marketplace" เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเจาะกลุ่มเป้าหมายไปที่ประเทศเพื่อนบ้าน หรือ CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม เนื่องจากเริ่มเห็นการเข้ามาท่องเที่ยวของกลุ่มประเทศดังกล่าวตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับปีนี้ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน น่าจะทำให้มีกลุ่มนักท่องเที่ยว CLMV เข้ามามากขึ้นจากการเปิดกว้างของตลาด
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมากลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนประเภทกลุ่มทัวร์จะลดลง แต่พบว่ามีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียและอินเดียเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฟูลมูนที่เกาะพงันและเกาะสมุย และมีแนวโน้มจะเข้ามามากขึ้นอีก ทำให้บริษัทเปิดสำนักงานที่ถนนข้าวสารใน กทม.เพื่อรองรับผู้โดยสาร
อีกทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนประเภทครอบครัวหรือ Backpack ยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าในปีนี้จะยังมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีกองเรือทั้งหมด 15 ลำ และมีรถตู้เพื่อให้บริการจำนวน 30 คัน มั่นใจว่าจะเพียงพอต่อการให้บริการนักท่องเที่ยว
"บริษัทมีความพร้อมที่จะรองรับการให้บริการผู้โดยสารได้อย่างเต็มที่ทุกรูปแบบ ดังนั้น ผมมั่นใจว่าในปี 62 นี้เราน่าจะสามารถขยายตลาดและทำให้รายได้โตขึ้นกว่าเดิมได้ไม่น้อยกว่า 10% จากการขยายธุรกิจกับพันธมิตรให้เชื่อมต่อไปยังประเทศต่าง ๆ ที่เป็นเพื่อนบ้านสมาชิกอาเซียน เพราะตอนนี้โลกของการเดินทางเชื่อมต่อกันได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว ยิ่งปีนี้ไทยเป็นประธานอาเซียนก็มีแนวโน้มที่การสัญจรเส้นทางต่างๆจะคึกคักมากขึ้น ซึ่งบริษัทตั้งเป้ามีเครือข่ายพันธมิตรเพิ่มเป็น 2 พันราย จากปัจจุบันมีอยู่ 1.2 พันราย"นายอภิชาติ กล่าว
พร้อมกันนี้ บริษัทวางงบลงทุนปีนี้ไว้ไม่เกิน 100 ล้านบาท เพื่อใช้สร้างท่าเทียบเรือเกาะสมุยและเกาะพะลวย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างยื่นขอใบอนุญาตคาดว่าจะได้รับภายในไตรมาส 1/62 และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างทันที น่าจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 2 ปี โดยภายหลังจากที่ดำเนินการแล้วเสร็จคาดว่าจะรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก 10% จากปัจจุบันที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 1.2-1.3 ล้านคน/ปี
"ปีนี้เราจะมุ่งเน้นการลงทุนไปที่การขยายท่าเทียบเรือเกาะสมุย และเกาะพะลวย เพื่อเพิ่ม traffic โดยเรื่องของการซื้อเรือคงจะไม่ใช่ปัจจัยหลัก"นายอภิชาติ กล่าว
นอกจากนี้ ความคืบหน้าของคดีฟ้องร้องจากเหตุการณ์เรือเฟอร์รี่เกยตื้น ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของศาลปกครอง ในการเจรจาไกล่เกลี่ย หากมีการตัดสินออกมาให้บริษัทต้องจ่ายค่าเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นจำนวนเงิน 29 ล้านบาท ก็ยืนยันว่าบริษัทมีความสามารถในการจ่ายค่าเสียหาย และจะไม่ส่งผลกระทบกับผลประกอบการของบริษัท