นายช่วงชัย นะวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) เปิดเผยว่า ทิศทางผลประกอบการของบริษัทปีนี้จะกลับมามีกำไรได้อย่างแน่นอน โดยเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งแล้วเสร็จจะทำให้ตลาดหุ้นกลับมามีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง โดยบริษัทได้หันมาเน้นเพิ่มสัดส่วนลูกค้าสถาบันภายในประเทศมากขึ้น และจะใช้จุดเด่นของโปรแกรมซื้อขาย Finansia HERO เข้ามาเพิ่มบัญชีลูกค้าใหม่ ๆ ด้วย โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มบัญชีลูกค้าใหม่ 10,000 บัญชี จากปัจจุบันบริษัทมีปัญชีลูกค้าทั้งหมด 60,000 บัญชี ซึ่งในส่วนธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ยังเป็นสัดส่วนรายได้หลักที่ 70-80%
ด้านธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) ในปีนี้เชื่อว่าจะมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และมีการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ด้วยการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เพิ่มเติม และจะเน้นการพัฒนาใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) ให้ออกมาเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมจากนักลงทุนจำนวนมาก
ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตผู้ให้บริการออกแบบการลงทุน (Wealth Advisor) ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 3/62 และยังได้ขอใบอนุญาต Wealth Management เพิ่มเติมเพื่อที่จะครอบคลุมการให้บริการกับลูกค้ามากขึ้น
"ปีนี้เราเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการลงทุนระบบการซื้อขาย Online ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในปีนี้เราวางงบลงทุนไว้หลักร้อยล้านบาท เพื่อที่จะพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัทให้มีความทันสมัย นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าปีนี้ผลประกอบการของเราจะออกมาเป็นบวกได้แน่นอน"นายช่วงชัย กล่าว
FSS ยังไม่ได้รายงานผลประกอบการปี 61 โดยในช่วงงวด 9 เดือนแรกปี 61 มีผลขาดทุนสุทธิ 2.46 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 60 ที่มีกำไรสุทธิ 107.23 ล้านบาท
ด้านนายวราห์ สุจริตกุล รองประธานกรรมการ ของ FSS เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในปีนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายๆปัจจัยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีน และประเทศสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันมีการเจรจากันไปแล้ว แต่ยังไม่มีข้อตกลงกันออกมา ซึ่งหากทั้ง 2 ประเทศไม่สามารถตกลงกันได้ก็จะเป็นผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เนื่องจากปัจจุบันทั้ง 2 ประเทศเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด และยังมีปัจจัยเกี่ยวกับการข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน แต่อาจจะมีการเลื่อนจากระยะเวลา ซึ่งยังต้องติดตามข้อตกลงที่จะเกิดขึ้นด้วย
สำหรับประเทศไทยในปีนี้มองว่าการเติบโตจะต้องเกิดจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในประเทศ และการพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ส่วนความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้งเชื่อว่าจะออกมาภายใน 1-2 วันนี้ โดยเชื่อว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือน มี.ค. เลื่อนไปจากเดิมราว 1 เดือน แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และคาดว่าหลังจากที่การเลือกตั้งแล้วเสร็จความมั่นใจก็จะกลับมา ผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง
"ตอนนี้เงินทุนต่างชาติเหลือน้อยมากและคงไม่เหลือให้ไหลออกไปแล้ว แต่การจะกลับมาของเงินทุนต่างชาตินั้นยังต้องรอความชัดเจนการเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนราคาในปัจจุบันถือว่าเหมาะสมที่จะเข้าลงทุน เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนของไทย มีผลประกอบการที่ดี ปันผลดีอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าหลังเลือกตั้งตลาดหุ้นไทยจะกลับมาดีอีกครั้ง"นายวราห์ กล่าว