นายชนัตถ์ สรไกรกิติกูล ประธานกรรมการการเงินและบริหารความเสี่ยง บมจ. แพรนด้า จิวเวลรี่ (PDJ) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจในปี 2562 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น ทั้งอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะกลับมาเป็นปกติที่ 32% และกำไรจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตปีนี้ 15% หรือมีรายได้ประมาณ 3,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นการสร้างกำไรอย่างต่อเนื่องจากฐานการผลิต ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลัก สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้ดีขึ้น ลดปริมาณการสูญเสีย ควบคุมต้นทุนได้ดีอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันโรงงานมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 80% โดยในปีนี้ตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตเป็น 90% จากฐานลูกค้าเดิมที่มีความเชื่อมั่นสั่งผลิตในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทมีโอกาสขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติมในกลุ่มลูกค้าที่สนใจย้ายฐานผลิตเข้าสู่ประเทศไทย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความไม่ชัดเจนของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา
ด้านธุรกิจการจัดจำหน่าย หลังจากที่มีการปรับปรุงลดฐานกิจการที่ไม่สร้างกำไร สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น โดยจะยังคงให้บริการโดยตรงจากประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการขายให้กับลูกค้าขนาดใหญ่ ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกมีการเติบโตทุกปี แต่ช่วงที่ผ่านมา บริษัทประสบปัญหาผลการดำเนินงานขาดทุน ส่งผลให้มีข้อจำกัดในการขยายธุรกิจ ซึ่งขณะนี้ฐานะทางการเงินปรับตัวดีขึ้นมาก บริษัทจึงมีแผนเตรียมความพร้อมในการขยายธุรกิจค้าปลีกในลำดับต่อไป คาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนได้ช่วงครึ่งปีหลัง
นายชนัตถ์ กล่าวว่า บริษัทฯ คาดจะมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจโรงงานผลิตประมาณ 50% หรือ 2,000 ล้านบาท, ธุรกิจค้าปลีก 40% หรือ 1,400 ล้านบาท และที่เหลือจะมาจากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายราว 10% จากปีก่อนที่มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 49:35:15 ตามลำดับ
"จากการปรับกลยุทธ์ในทั้ง 3 ธุรกิจของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลการดำเนินงานโดยรวมดีขึ้น ต้นทุนทางการเงินที่ลดลง มีงบดุล และสภาพคล่องการเงินแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ จะกลับมาเติบโตอยู่ในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง" นายชนัตถ์ กล่าว
พร้อมกันนี้บริษัทฯ ได้วางงบลงทุนรวมในปี 62 ไว้ที่ 40 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร ประกอบกับวางงบการตลาดไว้ที่ 5-7% ของยอดขายรวม โดยจะใช้ทำการตลาดบนช่องทางออนไลน์มากขึ้น เพื่อเจาะกลุ่มฐานลูกค้าใหม่ และเป็นการสร้างการรับรู้ การจดจำแบรนด์ (Brand Awareness) มากขึ้น
ส่วนการขยายสาขาในปีนี้ บริษัทฯ คงไม่ได้มุ่งเน้นมากนัก ซึ่งอาจจะมีการขยายสาขาเพิ่มอีกเล็กน้อยในพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยจะใช้เงินลงทุน แบ่งเป็น ร้านค้าเต็มรูปแบบจะใช้งบลงทุนขั้นต่ำ ประมาณ 10 ล้านบาท, ร้านขนาดกลาง ใช้งบประมาณ 5-7 ล้านบาท และเคาเตอร์ ใช้งบประมาณ 2 ล้านบาท อย่างไรก็ตามจะทำควบคู่ไปกับการปิดสาขาที่ไม่สร้างผลกำไรด้วย ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีจำนวนสาขาทั้งสิ้นอยู่ที่ 55 สาขา โดยจะอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล จำนวน 35 สาขา ส่วนที่เหลือจะอยู่ในต่างจังหวัด ซึ่งปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) จะเติบโตประมาณ 10-12% จากปีก่อนอยู่ที่ 6% โดยมองกำลังซื้อน่าจะปรับตัวดีขึ้น หลังการเลือกตั้ง เนื่องจากหากมีรัฐบาลใหม่น่าจะช่วงสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ในการจับจ่ายใช้สอยสินค้าต่างๆ รวมไปถึงสินค้าฟุ่มเฟือยมากขึ้น
สำหรับความคืบหน้าของการเลิกกิจการบริษัทย่อยในประเทศเยอรมนี หรือ Pranda & Kroll GmbH & Co.KG ที่ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องประดับแท้ คาดว่าจะดำเนินการการชำระทางบัญชีแล้วเสร็จได้ในไตรมาส 3/62 ซึ่งจะทำให้ในปีนี้ บริษัทฯ จะไม่มีค่าใช้จ่ายด้านภาษีของบริษัทย่อยดังกล่าว และน่าจะส่งผลต่อต้นทุนของบริษัทฯ ที่จะควบคุมได้ดีขึ้น