นายสาวิน จินดากุล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) กล่าวว่า บริษัทฯ คาดหวังหุ้นจะกลับมาเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในไตรมาส 3/62 ซึ่งระหว่างนี้จะดำเนินการส่งงบการเงินปี 60 -61 และไตรมาส 1/62 ตามเงื่อนของตลาดหลักทรัพย์ฯ และหลังจากนั้นจะยื่นขอปลดเครื่องหมาย SP เพื่อกลับมาทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าพลิกกลับมามีกำไรจากการดำเนินงานได้ในปีนี้ หลังปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้จากสถาบันการเงิน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ ขณะเดียวกันยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่บริษัทกลับมาดำเนินธุรกิจถ่านหินในประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีหนี้จากหุ้นกู้ประมาณ 5,000 ล้านบาท, หนี้ตั๋วแลกเงิน (B/E) ประมาณ 2,000 ล้านบาท และหนี้จากสถาบันทางการเงิน อีก 14,000 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายปริมาณการขายถ่านหินปีนี้ไว้ที่ 5 ล้านตัน แบ่งเป็น ปริมาณการขายถ่ายหินในประเทศ จำนวน 1 ล้านตัน และในประเทศจีนจำนวน 4 ล้านตัน โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้นำเข้าถ่านหินล็อตแรกปริมาณ 60,000 ตัน เพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากลูกค้า Retail ภายในประเทศ จาก 1 ปีผ่านมาบริษัทฯ มีเพียงยอดขายจากการซื้อขายภายในประเทศจีนเข้าเท่านั้น ซึ่งถ่านหินล็อตแรกนำเข้ามาจากเกาะ Kalimantan ประเทศอินโดนีเซีย โดยบริษัทฯ ตั้งเป้านำเข้าถ่านหินเขามาจำหน่ายประมาณ 50,000-100,000 ตันต่อเดือน เพื่อรองรับความต้องการถ่านหินจากกลุ่มลูกค้า Retail ภายในประเทศ ซึ่งมีทั้งกลุ่มลูกค้าเดิม และฐานลูกค้าใหม่
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ตั้งเป้าภายในปี 63 จะกลับมาเป็นผู้ค้าปลีกถ่านหิน ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ภายในประเทศ โดยคาดว่าจะทำได้ระดับ 2 ล้านตัน และเพิ่มเป็น 3 ล้านตันในปี 64
"บริษัทฯ คาดว่าปีนี้จะสามารถขยายตลาดถ่านหินภายในประเทศได้อย่างต่อเนื่อง และมียอดขายจากในประเทศเข้ามา จากเดิมมีเพียงยอดขายจากบริษัทลูกในประเทศจีน ซึ่งกลยุทธ์ในการหาลูกค้า บริษัทฯ ยังคงเน้นความละเอียดและพิจารณาอย่างรอบคอบในการเลือกซื้อถ่านหินจากแหล่งถ่านหินที่มีคุณภาพสูง ตรงตามความต้องการของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ามีความมั่นใจในคุณภาพ และการส่งมอบตามกำหนดเวลา" นายสาวิน กล่าว
นอกจากนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรผู้ประกอบธุรกิจถ่านหินรายใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย ในลักษณะของการร่วมลงทุน หรือขายสิทธิ์เหมืองถ่านหินของ EARTH ในอินโดนีเซีย ซึ่งมีขนาดปริมาณสำรองรวม 3 เหมือง รวมกันอยู่ที่ 250 ล้านตัน เพื่อขยายช่องทางการเติบโตของรายได้ และเสริมสภาพคล่องของบริษัทฯ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ อย่างไรก็ตามความร่วมมือดังกล่าวที่จะเกิดขึ้น จะทำให้ธุรกิจมีสภาพคล่องมากขึ้น เพื่อใช้รองรับกับการขยายธุรกิจถ่านหินในประเทศจีน เนื่องจากประเทศจีนมีความต้องการถ่านหินค่อนข้างมาก โดยปัจจุบันจีนมีการนำเข้าถ่านหินอยู่ที่ 3,000-4,000 ล้านตัน/ปี