นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวในงานสัมมนา "นโยบายเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยภายใต้รัฐบาลหลังเลือกตั้ง" ว่า อยากให้พรรคการเมืองให้ความสนใจกับตลาดทุน เพราะตลาดทุนถือเป็นแหล่งระดมทุน ถ้ายิ่งทำให้เข้มแข็งจะยิ่งได้ประโยชน์ โดยเชื่อว่าช่วงที่มีการเลือกตั้งจะส่งผลดีให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดทุนคึกคัก โดยอาจจะเห็นเม็ดเงินไหลเข้ามาระดับ 1 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ อยากฝากให้พรรคการเมืองเน้นการทำนโยบายระยะยาว ซึ่งควรจะเน้นในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่ยังมีความจำเป็นอยู่ และสานต่อนโยบายเดิม หรือการสร้างเงินออมในระบบให้มากขึ้นเพราะในอนาคตประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยมากขึ้น แม้นโยบายประชานิยมหรือ นโยบายระยะสั้นสามารถทำได้ แต่ไม่อยากให้เป็นนโยบายหลักของพรรคการเมือง เพราะปัจจุบันประเทศไทยยังมีปัญหาเชิงโครงสร้าง
อย่างไรก็ตาม ตลาดทุนไม่ได้กังวลในเรื่องการเลือกตั้งไปมากกว่าความมีเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะหากหลังเลือกตั้งสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้เกินกว่า 300 เสียงก็จะทำให้เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เพราะในขณะนี้ต่างชาติยังไม่มั่นใจถึงอายุของรัฐบาล
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ประธานคณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า อยากให้คนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับประโยชน์จากตลาดหลักทรัพย์ด้วย ไม่ใช่เฉพาะเศรษฐีและคนชั้นกลางเท่านั้น และการเป็นแหล่งระดมทุนให้กับบริษัท startup ทางเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นใหม่ การเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ โดยในเมื่อรัฐยังไม่สามารถช่วยเหลือกลุ่มคนสูงวัยที่เกษียณอายุได้ รัฐจึงไม่ควรเก็บภาษีจากเงินออกจากงานเพราะเกษียณอายุที่เขาต้องอาศัยเงินนี้ใช้ไปอีกนาน
นอกจากนี้ยังอยากเห็นแนวคิดที่เคยมี เช่น การเชื่อมต่อกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆในอาเซียน ตลอดจนเป็นศูนย์กลางการระดมทุนให้กับบริษัทดีๆในอาเซียนโดยเฉพาะใน CLMV เพื่อประเทศไทยจะได้เป็นศูนย์กลางทางตลาดทุนของอาเซียน อยากเห็นตลาดหลักทรัพย์ปรับบทบาทเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศตามแนวทางนี้ เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
สำหรับนโยบายเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งควรต้องมุ่งเน้น 3 ด้าน คือ 1.การนำประเทศไทยให้ก้าวทันโลก หลังจากล้าหลังมาหลายปี และต้องก้าวนำเพื่อกำหนดอนาคตประเทศล่วงหน้าเองถ้าทำได้ ซึ่งโลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเฉพาะทางเทคโนโลยีทำให้เกิด disruption ในวงการธุรกิจอย่างมากมาย และตลอดเวลา เช่น ธนาคารต่างๆต้องปิดหลายสาขา เป็นต้น แม้คนส่วนใหญ่จะรับรู้เรื่องนี้น้อย และอาจเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่คนในวงการตลาดหลักทรัพย์จะทราบดีว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการพัฒนาประเทศเพื่อเตรียมรองรับการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
2.การรับมือกับปัญหาของประเทศไทย เช่น ปัญหาการเจริญเติบโตที่ต่ำมาหลายปีติดกัน แถมยังไปกระจุกตัว ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาสังคมสูงวัย ปัญหาการว่างงานที่จะสูงขึ้นจากเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และ Robotic ปัญหาการผูกขาดทางเศรษฐกิจ เป็นต้น
3.การนำประเทศไทยกลับไปเป็นศูนย์กลางตลาดทุนของอาเซียน โดยมีแนวทาง Regional integration ที่จะเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน
นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า การเพิ่มบทบาทของตลาดทุนที่มีต่ออนาคตของประเทศไทย ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้นับเป็นโอกาสที่จะทำอย่างไรให้ประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน และครอบคลุมทุกมิติ เพราะการพัฒนาในทุกด้านมีความเชื่อมโยงกัน
ช่วง 4 ปีหลังการเลือกตั้ง ตนเองอยากเห็นตลาดทุนเป็นของคนไทยทุกคน และมีการขยายศักยภาพของบุคลากรในแวดวงตลาดทุนไปพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ ด้วย
พปชร.มีนโยบาย 3 ด้าน คือ 1.สวัสดิการประชารัฐ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไทยทุกคนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสและความเท่าเทียม ซึ่งจะเป็นหลักประกันที่มั่นคงในชีวิต เช่น เรื่องรายได้ การศึกษา
2.เศรษฐกิจประชารัฐที่มีการเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยี 3.การกระจายความเจริญไปยังทุกพื้นที่ แค่เพียงกระจายอำนาจคงไม่เพียงพอ เพื่อแก้ปัญหาคนเข้ามาทำงานในเมือง
ในส่วนของตลาดทุนก็สามารถช่วยพัฒนาประเทศได้ เช่น กองทุนต่างๆ ที่ทำเรื่องการเทคโอเวอร์สามารถไปสนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็ก หรือการนำมาใช้ประโยชน์ในวงการศึกษา เช่น การแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า อยากเห็นการเติบโตของตลาดทุน ซึ่งต้องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ดี ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องหาทางดูแลเศรษฐกิจประเทศ โดยตลาดทุนเป็นแหล่งทุนของผู้ประกอบการที่มีความปลอดภัย
สำหรับนโยบายเศรษฐกิจของพรรคนั้นมุ่งแก้ปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชน ด้วยการลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทำให้เกิดความเท่าเทียม ทำให้ประชาชนมีกินมีใช้อย่างพอเพียง ที่ผ่านมาการแก้ปัญหามีอุปสรรคสำคัญคือเรื่องการใช้ดุลยพินิจของอำนาจรัฐซึ่งไม่มีมาตรฐาน หากแก้ไขเรื่องนี้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปออกกฎหมายมาบังคับใช้เลย
นอกจากนี้ต้องลดงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธ เพื่อนำมาใช้พัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ ตามลำดับความสำคัญเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาก่อนแล้วจึงค่อยไปต่อยอดเรื่องอื่นๆ
นายกรณ์ จาติกวณิช ประธานกรรมการคณะกรรมนโยบาย พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการพัฒนาตลาดทุนในอีก 4 ปีข้างหน้าว่า พรรคประชาธิปัตย์จะผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นขยายตัวถึง 2,500 จุด และส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนที่เน้นการส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีมากขึ้น และนำเทคโนโลยีฟินเทคมาใช้มากขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนและลดต้นทุนการทำธุรกรรม
ทั้งนี้จะผลักดันให้เกิดตลาดหลักทรัพย์แหล่งที่ 2 ที่เน้นด้านคริปโตเคอเรนซีเพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงสินทรัพย์ในด้านนี้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
นอกจากนี้ พรรคจะให้ความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เป็นศูนย์กลางในกลุ่ม CLMV ทำให้เศรษฐกิจครัวเรือนมีความเข้มแข็ง และเพิ่มความสามารถในการออม
สำหรับนโยบายหลักของพรรคประชาธิปัตย์จะเน้น 3 เรื่อง คือ การแก้จน สร้างคน สร้างชาติ ซึ่งในเรื่องการแก้จน พรรคยังคงยึดนโยบายการประกันรายได้เกษตรกร รวมถึงนำเสนอนโยบายใหม่ในการประกันรายได้ให้กับผู้ใช้แรงงาน ในกรณีที่รายได้ทั้งปี ต่ำกว่า 1.2 แสนบาทต่อปี รัฐพร้อมจ่ายส่วนต่างให้
นอกจากนี้ พรรคมีนโยบายส่งเสริมปัจจัยการผลิตทั้งนโยบายโฉนดสีฟ้า ให้ประชาชนมีที่ทำกินหรือนโยบายกองทุนน้ำ กระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการแหล่งน้ำให้เกษตรกรได้
ส่วนการสร้างคน พรรคปชป. เน้นเรื่องการศึกษาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตตั้งแต่เด็กแรกเกิด ทำให้เด็กไทยในอนาคตสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการพัฒนาจากต่างประเทศมากขึ้น
สำหรับการสร้างชาติ พรรคปชป.เน้นการกระจายอำนาจด้วยการให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในทุกจังหวัด และกระจายอำนาจการศึกษาให้โรงเรียนสามารถกลายเป็นนิติบุคคลกำหนดนโยบายการศึกษาได้ด้วยตัวเอง และเน้นการกระจายอำนาจออกจากกรุงเทพมหานครผ่านนโยบาย 10 มหานครที่พรรคจะนำเสนอต่อไป
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) กล่าวว่า ในอีก 4 ปีข้างหน้าอยากเห็นตลาดทุนเติบโตทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ โดยอยากเห็นบริษัทใหม่ ๆ กลุ่มเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของประเทศ รวมถึงเพิ่มตลาด Low Cap ให้มากขึ้น ส่วนด้านคุณภาพอยากเห็นการปรับปรุงคุณภาพของตลาดทุนรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเพิ่มบทลงโทษมากขึ้นในกรณีทำผิดธรรมาภิบาลของตลาดหุ้น และส่งเสริมตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าให้เข้มแข็งมากขึ้น
สำหรับนโยบายเศรษฐกิจของพรรค จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจขนาดใหญ่และยกระดับเศรษฐกิจรากหญ้า ซึ่งอยากเห็นเศรษฐกิจไทยมีความเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ อยากเห็นจีดีพีขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ย 4.2 % ต่อปี และทำให้เศรษฐกิจมีภูมิคุ้มกันที่ดี อยู่ภายใต้วินัยการเงินการคลัง และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้
นายสุวัจน์ มองว่า โครงสร้างเศรษฐกิจหลักของประเทศในอนาคต ต้องเน้นด้านอุตสาหกรรมเกษตรและการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นจุดแข็งในการพัฒนาประเทศได้ โดยด้านการเกษตรพรรคมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้สินค้าหลัก ทั้งข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์ม และยาง สามารถสร้างกลไกเพื่อกำหนดราคาในตลาดได้ ส่งเสริมเกษตรแบบครบวงจรตั้งแต่กระบวนผลิตถึงการทำตลาด รวมถึงส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทำการวิจัยและพัฒนา (R&D) สินค้าเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้ามากขึ้น ส่วนด้านการท่องเที่ยว พรรคชาติพัฒนาจะเน้นการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเที่ยวในเมืองรองมากขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการขนาดใหญ่ พรรคมีนโยบายเปิดอีสานสู่ความเป็นอินเตอร์ ด้วยการสร้างถนนมอเตอร์เวย์ เพื่อเชื่อมโยงภาคตะวันออกเฉียงเหนือออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านและเชื่อมโยงไปยังอีอีซี ต้องส่งเสริมให้เอกชนมาร่วมลงทุนในรูปแบบPPP ให้มากขึ้น พร้อมทั้งต้องนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เอไอ บล็อคเชนมาช่วยในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจด้วย
นอกจากนี้ พรรคชาติพัฒนาให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจรากหญ้า เน้นการช่วยเกษตรกร ภาคท่องเที่ยวและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อลดความเลื่อมล้ำ
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงนโยบายเศรษฐกิจของในพรรคเพื่อไทยว่า จะเน้นการสร้างเศรษฐกิจแบบสมดุล เน้นลดรายได้ เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ผ่าน 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย 1.การส่งเสริมการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งยังเป็นรายได้หลักของประเทศ ซึ่งการท่องเที่ยวมีมูลค่าสูงถึง 23% ต่อจีดีพี จึงจำเป็นต้องบูรณาการทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน
2.การลงทุนภาคเอกชนทั้งจากไทยและต่างประเทศ ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ขยายกิจการมากขึ้น และจากการที่ไทยจะก้าวสู่การเป็นประชาธิปไตย ทำให้การเจรจาการค้ากับต่างประเทศสามารถเดินหน้าต่อได้ สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน รวมถึงส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศให้มากขึ้น
3.ส่งเสริมการอุปโภค/บริโภค เกิดการจับจ่ายใช้สอยให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ซึ่งจากการดำเนินนโยบายการเพิ่มขึ้นค่าแรงในสมัยที่เป็นรัฐบาล ยังเชื่อมั่นว่า สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้ ทำให้รายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และ 4.การใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งต้องขับเคลื่อนทั้ง 4 ด้านให้เกิดความสมดุลไปพร้อมๆกัน