นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการพัฒนาทำให้เห็นศักยภาพการต่อยอดในอนาคต โดยมองว่าสามารถแบ่งออกได้ 2 ส่วน คือ ส่วนของบริษัทที่มีการทำธุรกิจอยู่ในแถบนี้อยู่แล้ว โดยภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ทำอยู่จะสามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตได้ดีมากขึ้น เพราะฉะนั้นความสามารถในการต่อยอดของธุรกิจที่อยู่ในพื้นที่ EEC จะได้ประโยชน์จากตรงนี้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะมาจากหลายด้าน เช่น ด้านโลจิสติกส์ จากการเชื่อมโยงการขนส่งทางอากาศ ทางเรือ ทางราง และทางถนน เป็นต้น
และส่วนที่สอง คือ อุตสาหกรรมใหม่ที่จะได้รับประโยชน์ในอนาคต จากการที่ภาครัฐมีความพยายามทำให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดในการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ จากโครงสร้างพื้นฐานที่ดีอยู่แล้วจึงสามารถต่อยอดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนภาคธุรกิจต่าง ๆ ทั้งในไทย กลุ่มประเทศ CLMV และในภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ ตลท.มีความมั่นใจว่าการระดมทุนต่าง ๆ ในอนาคต ซึ่งรวมถึงการระดมทุนผ่านตลาดทุน ไม่ว่าจะมาจากอุตสาหกรรมเก่าที่ต้องการขยายภาคธุรกิจของตัวเอง หรืออุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ต้องการต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่ จะต้องใช้เงินทุนและลงทุนในภูมิภาคนี้จำนวนมาก โดยมองว่าพื้นที่ EEC จะเป็นพื้นที่ศักยภาพใหม่ของประเทศด้วย
ขณะเดียวกันตลท.มีความสนใจและอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้พื้นที่ EEC ทำธุรกิจใหม่ ๆ อาทิ ผลิตภัณฑ์กลุ่มโภคภัณฑ์ (commodity product) และผลิตภัณฑ์กลุ่มเกษตร (agriculture product) ซึ่งต้องใช้เวลาศึกษาในอีกหลาย ๆ ด้าน อาทิ ด้านภาษี และโครงสร้างธุรกิจ
"การมาศึกษาดูงานครั้งนี้จะทำให้เราได้เห็นอะไรและกลับไปคิดเป็นโจทย์ของเราต่อไปอีก ถ้าสามารถทำให้สร้างธุรกิจให้กับทั้งตลาดและประเทศได้ก็มีความน่าสนใจมาก ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจได้เห็นพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการที่เราจะส่งสินค้าออก มีการสร้าง storage ทำ commodity warehouse ต่าง ๆ ได้" นายภากร กล่าว
นายภากร กล่าวอีกว่า สำหรับปัจจัยการเมืองที่มีผลกระทบต่อตลาดทุนไทยในช่วงที่ผ่านมา มองว่าความชัดเจนของการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดทุน เนื่องจากเสถียรภาพของระบบการเมืองเป็นเรื่องที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญ เพราะฉะนั้นความชัดเจนเรื่องกำหนดการเลือกตั้งต่าง ๆ จะมีผลดีกับตลาดทุน ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจและตัดสินใจได้มากขึ้น
ขณะเดียวกันปัจจุบันการทำโรดโชว์ของตลาดทุนไทยจะเป็นหน้าที่ของบริษัทหลักทรัพย์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีการทำ inbound roadshow ผ่านการจัดงาน "Thailand Focus" ที่มีการจัดขึ้นทุกปีในช่วงเดือนสิงหาคม อย่างไรก็ดี มองว่าภายในปีนี้หลังจากมีการจัดงานดังกล่าวคงเห็นความชัดเจนด้านปัจจัยการเมืองไปแล้ว
ด้านนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลท. กล่าวว่า ปัจจุบันมีความชัดเจนเรื่องกำหนดการการเลือกตั้งและแผนการประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว เพราะฉะนั้นมองว่าตลาดทุนจะตอบรับในทิศทางที่ดี โดยคาดว่า sentiment โดยรวมน่าจะดีขึ้น อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ทั้งนี้ ปัจจัยความไม่ชัดเจนของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐยังมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมองว่าตลาดมีการตอบรับปัจจัยดังกล่าวไปแล้ว ขณะเดียวกันนักลงทุนยังให้ความสนใจเรื่องการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนอยู่ โดยทั้งสองปัจจัยดังกล่าวจะทำให้เกิดผลกระทบต่อทั้งโลกไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยอย่างเดียว
นอกจากนี้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 61 มีการเติบโตค่อนข้างดี ทั้งด้านรายได้และกำไรจากการดำเนินงาน (operating profit) ที่อยู่ในอัตราเฉลี่ยราว 10% ซึ่งมองว่ายังมีโอกาสการเติบโตต่อในอนาคตได้ ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายที่จะมากระตุ้นเพื่อสนับสนุนการเติบโตด้วย