นายธีระพงษ์ วชิรพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.ภัทร (PHATRA) กล่าวในงาน"มหกรรมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ปี 2551"ว่า ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการดัชนีหุ้นไทยปีนี้เหลือต่ำกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงปลายปี 50 ที่ 1,000 จุด เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวค่อนข้างรุนแรงและอาจจะถดถอยถึง 3 ไตรมาส
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้จะขยายตัวได้เพียง 1% และมีโอกาสที่จะลดเหลือเพียง 0.80% และยังได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มที่ยังกดดันอยู่ ซึ่งหากพิจารณาสถิติจะพบว่าเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งรวมถึงเศรษฐกิจไทยด้วย
ในปีนี้เห็นว่าหุ้นกลุ่มธนาคารยังน่าลงทุนโดยให้ผลตอบแทนถึง 15% ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนของ SET Index เพราะส่วนใหญ่มีการตั้งสำรอง
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย(SCIBS)กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างการประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จากเคยมองไว้ที่ 1,000 จุด โดยขณะนี้ลดลงเหลือ 900-930 จุด ซึ่งเป็นตัวเลขภายใต้เงื่อนไขมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เรียบร้อย และมีการลงทุนเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐที่ยังไม่ดีขึ้น และอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยจะเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยอยู่ โดยประเมินว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้คงยังไม่มีข่าวดีจากสหรัฐที่จะทำให้ตลาดหุ้นอื่น ๆ ปรับตัวในทิศทางที่ดีได้ เนื่องจากปัญหาซับไพร์มที่ลากยาวมาตั้งแต่ไตรมาส 4/51 และยังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐที่อาจจะถดถอย จึงทำให้ไม่สามารถแก้ไขได้ในช่วงสั้น ดังนั้น sentiment ในช่วงนี้มีโอกาสที่จะปรับลดลง
แต่เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะปรับตัวขึ้นได้จากการประกาศลดดอกเบี้ยเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวไปมากกว่านี้ และจากการประเมินก็เห็นว่าการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ในครั้งนี้จะมากกว่าทุกครั้ง
"ตอนนี้เราเริ่มที่จะพิจารณาดัชนีใหม่ จากตอนปลายปีที่มองดัชนีปี 51 ที่ 1,000 จุด จากการคาดการณ์ว่าจะมีเงินทุนต่างชาติเข้ามาจากค่าเงินสหรัฐที่อ่อนค่าลง แต่เมื่อดูตัวเลข 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนทั่วโลกกลัวตลาดหุ้น และหันไปถือพันธบัตรและทองคำแทน" นายสุกิจ กล่าว
สำหรับหุ้นกลุ่มแบงก์ มองว่าแบงก์ขนาดใหญ่ได้เปรียบและยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินมากกว่าแบงก์ขนาดเล็ก โดยหุ้นเด่นกลุ่มแบงก์ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) รวมทั้ง ธนาคารทหารไทย (TMB) หลังจากที่ไอเอ็นจี กรุ๊ป เข้ามาถือหุ้นทำให้มีจุดเด่นด้านประกัน ซึ่งแตกต่างจากแบงก์อื่นแต่ก็ยังมีผลขาดทุนค่อนข้างมาก
ขณะที่กลุ่มหลักทรัพย์จะผันผวนตามตลาดหุ้นไทย แต่การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ โดยแนะให้มองคุณภาพของบริษัทด้วย แนะ PHATRA แข็งแกร่งในแง่ของบริษัทแม่ต่างประเทศถือหุ้น, บล.บัวหลวง (BLS) ในเครือแบงก์กรุงเทพเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทำให้ต้นทุนต่ำ และบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ( KGI) ที่แข็งแกร่งทางด้านตราสารอนุพันธ์
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/จำเนียร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--