นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย(SCIB)คาดว่า การเติบโตของสินเชื่อปี 51 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 4/50 สินเชื่อ SME เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่สินเชื่อรายย่อยก็ขยายตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับเมื่อเดือนธ.ค.50 ธนาคารมีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ปัจจัยเหล่านี้น่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้สินเชื่อเติบโตขึ้น
ธนาคารยังตั้งเป้าหมายลดสินเชื่อด้อยคุณภาพ(NPL)ให้เหลือต่ำกว่า 5% ภายในสิ้นปีนี้ จาก 6.84% ณ สิ้นปี 50 ซึ่งวิธีในการลด NPL คือ การบริหารจัดการด้วยตัวเอง คือ การเรียกชำระหนี้ตามกฎหมาย และ วิธีการขาย NPL โดยจากการศึกษาพบว่ามีสินเชื่อที่พร้อมขายประมาณ 8 พันล้านบาท เป็นสินเชื่อรายใหญ่ประมาณ 52 ราย รายย่อยเกือบ 600 ราย
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในปีนี้ธนาคารมีแผนงานจะปรับโครงสร้างเงินฝากด้วยการเพิ่มสัดส่วนเงินฝากประเภทออมทรัพย์และกระแสรายวันเพื่อไปสู่เป้าหมายการเพิ่มส่วนต่างอัตราดดอกเบี้ย (สเปรด) อีก 0.7% ให้เป็น 3.74% ภายใน 3 ปี จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 3.04%
ปัจจุบันโครงสร้างเงินฝากของธนาคาร เป็นเงินฝากประจำ 70% และออมทรัพย์ 30% โดยธนาคารตั้งเป้าจะปรับให้เป็น 60:40 ภายใน 3 ปี และปรับโครงสร้างสินเชื่อด้วยการเน้นขยายสินเชื่อ SME และ รายย่อย
ขณะที่โครงสร้างสินเชื่อ ตั้งเป้าจะปรับเพิ่มสินเชื่อรายย่อยจาก 15% เป็น 25% ส่วนสินเชื่อรายใหญ่ตั้งเป้าลดลงจาก 48% เป็น 30% ที่เหลือเป็น SME เพิ่มจาก 37% เป็น 45%
"จะเน้นเพิ่ม retail และ SME ในขIะที่ยังคงรักษารายใหญ่ให้เติบโตไปด้วย...ทุกอย่างจะทำให้ระบบมีความสมดุลกันมากขึ้น สเปรดจะปรับมาอยู่ในเกณฑ์ที่สูงขึ้นจากระดับปัจจุบัน" นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า เงินกองทุนของธนาคารในขณะนี้อยู่ที่ 12.86% ถือว่าเพียงพอและไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนแม้จะมีการใช้เกณฑ์ Basel II
สำหรับความคืบหน้าเรื่องพันธมิตร คาดว่าจะได้ความชัดเจนตัวพันธมิตรใหม่ภายในสิ้นปีนี้ โดยคาดว่าในไตรมาสแรกของปีนี้จะได้ตัวที่ปรึกษาในการหา Strategic Partner ซึ่งธนาคารเองก็ต้องการที่จะมีพันธมิตรมากกว่า 1 ราย เพื่อให้มาสนับสนุนการดำเนินธุรกิจในหลาย ๆ ด้าน คงไม่มีรายใดรายหนึ่งที่จะมีความรู้ทุกอย่าง และแต่ละรายมีความชำนาญไม่เหมือนกัน
"Strategic Partner ที่อยากได้ Know-how และมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพราะถ้าเราต้องการให้สินเชื่อ SME และรายย่อยเติบโต เทคโนโลยีถือว่าจำเป็นมาก และเมื่อได้ที่ปรึกษาแล้ว ก็จะศึกษาความเป็นไปได้ต่างๆ กระบวนการทุกอย่างๆ จะทำไปพร้อมๆกับหารหารือกับกองทุนฟื้นฟูฯ เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกับกองทุนฟื้นฟูฯ...เรื่องนี้ไม่ถือเป็นภาระกิจหลัก แต่เราคิดว่าเราควรมีส่วนในการเลือก เพราะเราจะรู้ว่าใครเหมาะสมกับเราที่สุด" นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวถึงนโยบายจ่ายปันผลว่า เนื่องจากปีที่แล้วขาดทุน เรื่องนี้ต้องมีหาการหารือกับคณะกรรมการธนาคารอีกครั้ง แต่ส่วนตัวมองว่า การที่ผลประกอบการติดลบจากการตั้งสำรอง และได้มีการหารือผู้ถือหุ้นซึ่งทั้งผู้ถือหุ้นรายใหญ่และรายย่อยเอง น่าจะเข้าใจดี เพราะฉะนั้นทุกอย่างจบไปแล้ว ต่อจากนี้ไปคงมาเริ่มต้นกันใหม่
--อินโฟเควสท์ โดย อภิญญา วุฒิเมธากุล/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--