บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ระยะยาว ของบริษัทบริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS ที่ระดับ “A-(tha)" (A ลบ (tha)) และอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ระยะสั้นที่ระดับ “F2(tha)" แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
อันดับเครดิตของ BAFS สะท้อนถึงสถานะการเป็นผู้นำในการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน โดย BAFS เป็นผู้ให้บริการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Depot Service) และเครือข่ายท่อจ่ายน้ำมันอากาศยาน (Hydrant Pipeline Network) แต่เพียงรายเดียวและเป็นผู้ให้บริการหลักในส่วนของรถเติมน้ำมันอากาศยาน (Into- Plane Service) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในการเติมน้ำมันอากาศยานที่ 90% นอกจากนี้ BAFS ยังเป็นผู้ให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพหรือสนามบินดอนเมืองแต่เพียงรายเดียว
อันดับเครดิตยังพิจารณาถึง การที่ผู้ถือหุ้นหลักของ BAFS เป็นผู้ใช้บริการหลักในการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน และทีมบริหารระดับสูงของบริษัทที่มีประสบการณ์
นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการปรับตัวที่ดีขึ้นของผลการดำเนินงาน และความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและมั่นคง BAFS เป็นผู้รับผิดชอบในการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน ในขณะที่ลูกค้าจะต้องเป็นผู้จัดหาและจัดส่งน้ำมัน JET A-1 เข้าเก็บในคลังน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นความผันผวนของราคาน้ำมันจึงไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของบริษัท
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของ BAFS ยังพิจารณาถึงอัตราส่วนหนี้สินที่สูงในปัจจุบัน อันเป็นผลมาจากการลงทุนก่อสร้างระบบเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบครบวงจรที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แม้ว่าอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS จะมีการปรับตัวดีขึ้นหลังจากการเปิดใช้งานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเดือนกันยายน 2549 นอกจากนี้ความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรายในส่วนของธุรกิจคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ซึ่งอาจทำให้มีการแข่งขันด้านราคามากขึ้นในระยะปานกลาง นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่สูงมากในขณะนี้อาจมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการใช้บริการเติมน้ำมันอากาศยานและการเติบโตของรายได้ของบริษัทได้
สำหรับในปี 2550 ที่ผ่านมา BAFS มีผลการดำเนินงานตามที่ Fitch คาดการณ์ไว้ โดยบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าเช่า (EBITDAR) สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดเดือนกันยายน 2550 เพิ่มขึ้น 89% มาอยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลมาจากค่าบริการเติมน้ำมันอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับค่าบริการเติมน้ำมันอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานดอนเมืองในช่วงก่อนที่จะมีการย้ายสนามบิน และการเพิ่มขึ้นของปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยาน นอกจากนี้ผลประกอบการในไตรมาส 4 ของปี 2550 ของบริษัทน่าจะยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากเป็นฤดูท่องเที่ยว
ในด้านของอัตราส่วนหนี้สิน บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (Net Adjusted Debt/EBITDAR) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550 ลดลงมาอยู่ที่ 2.7 เท่า จากระดับสูงสุดที่ 4.9 เท่า ณ สิ้นปี 2548
แนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการที่ยังคงแข็งแกร่งและการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของเงินลงทุนในอนาคต จะเป็นส่วนช่วยให้อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในระดับ 2.0 เท่า ถึง 2.5 เท่า ภายในสิ้นปี 2551
ความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้ถูกลดทอนลงอย่างมากหลังจากบริษัทได้เปลี่ยนอัตราค่าบริการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Depot Service) และค่าบริการเครือข่ายท่อจ่ายน้ำมันอากาศยาน (Hydrant Service) จากสกุลดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลบาทในเดือนตุลาคม 2550 ในขณะที่ยังคงอัตราค่าบริการเติมน้ำมันอากาศยาน (Into-Plane Service) เป็นสกุลดอลล์ลาร์สหรัฐเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการเติมน้ำมันอากาศยานอีกรายที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ณ ปัจจุบันประมาณ 80% ของรายได้จากการให้บริการของ BAFS อยู่ในรูปสกุลเงินบาท (ก่อนหน้านี้เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 100%) ซึ่งทำให้สอดคล้องมากขึ้นกับค่าใช้จ่าย และหนี้สินของ BAFS ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินบาท
แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพของ BAFS สะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งของความสามารถในการสร้างรายได้และการลดลงของเงินลงทุนในอนาคต ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทให้ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิต ณ ปัจจุบัน ภาย 12-18 เดือนข้างหน้า
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--