นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเชียพลัส กล่าวในการสัมมนา"มหกรรมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ปี 2551"ว่า ปัญหาซับไพร์มที่อาจลุกลามเป็นวิกฤติ"แฮมเบอร์เกอร์"จะส่งผลกระทบเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลกในปีนี้ รวมถึงประเทศไทย โดยผลกระทบด้านลบที่อาจมีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ อาจส่งผลดีทำให้เงินไหลเข้าออกจากสหรัฐมาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ แต่ทำให้บาทมีโอกาสแข็งค่าแตะ 28 บาท/ดอลลาร์ภายใน 4 ปี
ปัญหาซับไพร์มที่ลุกลามไปอย่างมากคาดว่าจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตได้เพียง 1% ในปีนี้ และคาดว่าจะใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 1 ปีครึ่ง ซึ่งการแก้ไขปัญหาในอนาคตอาจมีทั้งการลดดอกเบี้ยและอัดฉีดสภาพคล่องประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอาจส่งต่อเศรษฐกิจไทย รวมทั้งแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐที่จะทำให้บาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีก
นายก้องเกียรติ เชื่อว่า การหดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย อเมริกาใต้ และยุโรปตะวันออกซึ่งเม็ดเงินการลงทุนจะไหลเข้าสู่ประเทศเหล่านี้ แม้ว่าจะขนาดจีดีพีรวมกันคิดเป็น 30% ของทั้งโลก ขณะที่จีดีพีของประเทศที่พัฒนาแล้วคิดเป็นสัดส่วนถึง 70% แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าการเติบโตของจีดีพีโลกประเทศเกิดใหม่มีการเติบโตต่อปีถึง 50%
"ปัญหาซับไพร์มยังส่งผลกระทบตลาดหุ้นต่างๆทั่วโลก รวมถึงไทย ตลาดหุ้นไม่ชอบความไม่แน่นอนจากปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/50 คงส่งผลมายังปี 51 ทั้งปี เงินต่างชาติจึงเริ่มไหลออกในช่วงที่ผ่านมาแต่กองทุนต้องหาแหล่งลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน และตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่น่าสนใจที่สุด รวมทั้งการลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP)จะมีมากกว่าการลงทุนในหุ้นไอพีโอ"
สำหรับประเทศไทยเป็นโอกาสดีด้านการส่งออกที่จะได้ประโยชน์จากราคาสินค้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูปที่ประเทศไทยส่งออกคิดเป็น 5-6%ของจีดีพี แต่ผู้ผลิตต้องเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและรัฐบาลไทยต้องผลักดัน โดยการเพิ่มราคาขายผลผลิต ทั้งนี้สิ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำนเนการคือการวางนโยบายที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และการดำเนินการต้องรวดเร็วดำเนินการจริง
ด้านนายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ คณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังภาพของการจัดตั้งรัฐบาลมีความชัดเจน จะทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจเดินหน้าได้อย่างเต็มที่มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ส่วนผลกระทบที่มาจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลกเชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยและประเทศอื่นในภูมิภาคน้อยกว่าประเทศยุโรป
อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ จึงทำให้นักลงทุนยังจะลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทย เพื่อป้องกันความเสี่ยง อีกทั้งการที่ตลาดหุ้นไทยมีข้อจำกัดเรื่องขนาดของบริษัทและไม่มีหุ้นขนาดใหญ่ใหม่ๆเข้ามาลงทุน จึงทำให้เงินที่ถูกพักหรืออยู่นอกตลาดหุ้นจะยังไม่กลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยทันที แม้ว่าค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยในรอบปีที่ผ่านมาจะเฉลี่ยอยู่ที่ 8 เท่า เท่านั้น รวมถึงมีผลตอบแทนการลงทุนอยู่ที่ร้อยละ 5 (คิดจากสกุลเงินดอลลาร์) ก็ตาม
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 2551 จะกลับมาดีที่สุดในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าดัชนีอาจเห็นถึง 1,000 จุดได้แม้ว่ายังไม่ยกเลิกการประกันสำรอง 30% โดยมาตราการนี้ยังเป็นเครื่องมือที่ดีของธนาคารแห่งประเทศไทย
"หุ้นที่น่าสนใจเป็นหุ้นกลุ่มก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ โทรคมนาคม ส่วนหุ้นพลังงานไม่น่าสนใจมากนักเพราะว่าที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับเพิ่มสูงมากแล้ว"นายอนุสรณ์ กล่าว
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ปัญหาซับไพร์มส่งผลเสียหายทั่วโลกกว่า 9 แสนล้านบาท และคาดว่าปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงยืดเยื้อออกไปอีก ซึ่งไทยอาจได้รับผลกระทบบ้าง เพราะปัจจุบันไทยส่งออกไปสหรัฐเพียง 15% ที่เหลือกระจายไปในประเทศต่างๆ และไทยยังมีโอกาสขยายการส่งออกไปยังจีนและอินเดียที่ยังมีอัตราการเติบโตของจีดีพีในระดับสูง
"ไทยไม่มีความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยตามสหรัฐ เพราะภาวะเงินเฟ้อของเราไม่สูงมากปัจจุบันแค่ 3.2% ถือว่าไม่สูง ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยเองก็ปรับลดลงในช่วงต้นปีแต่ไตรมาส 2/51 อาจกลับมาเป็นช่วงขาขึ้นอีกครั้ง ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ขอให้มีความรู้และความสนใจในตลาดทุนนอกจากมีความสามารถด้านตลาดเงิน"นายสมบัติ กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/นิศารัตน์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--