ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ตั้งเป้าหมายปี 51 ขยายสินเชื่อในส่วนของธนาคารเพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ 39,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 8.8% จากฐานสินเชื่อ โดยแบ่งเป็นเป้าหมายขยายสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตสุทธิประมาณ 11,000 ล้านบาท สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME เติบโตสุทธิประมาณ 12,000 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อลูกค้ารายย่อยเติบโตสุทธิประมาณ 16,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายค่าธรรมเนียมจากการบริการซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยขยายตัว 26%
"การชะลอตัวของธุรกิจในปี 2550 นั้นเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า เนื่องจากธนาคารมุ่งให้ความสำคัญกับกิจกรรมในการผสานธุรกิจ อย่างไรก็ตามธนาคารสามารถชดเชยปริมาณธุรกิจที่ชะลอลงด้วยความพร้อมสำหรับการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Inorganic Growth) เช่นการเข้าซื้อธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ของ GECAL ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมกราคมนี้" นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ BAY กล่าว
นายตัน คอง คูน เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 51 ว่า ธนาคารตั้งเป้าที่จะขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นสุทธิ 39,000 ล้านบาท หรือเติบโต 8.8% จากฐานสินเชื่อ ณ สิ้นปี 50 ที่ 450,000 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐานว่าเศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการเติบโตที่ 4.5-5.0% เนื่องจากความต้องการและการลงทุนในประเทศ
นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าที่จะเพิ่ม NIM เป็น 3.7% จากระดับปัจจุบันที่ 3.21% แต่เมื่อรวมกับ GECAL แล้วจะทำให้ NIM เพิ่มเป็น 4% ส่วน Net NPL ตั้งเป้าที่จะลดเหลือ 6.7% จากปัจจุบันที่ 7.1% โดยการบริหารจัดการและขาย NPL ซึ่งภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ ธนาคารเตรียมจะขาย NPL อีกประมาณ 6,200 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนในตราสาร CDO (Collateralised Debt Obligations) จำนวน 85 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 0.4% ของสินทรัพย์รวมทั้งหมดของธนาคาร นายตัน คอง คูน กล่าวว่า ธนาคารจะยังคงถือครองตราสารดังกล่าวจนกว่าจะครบกำหนดในปีค.ศ. 2010 แม้ว่าที่ผ่านมาธนาคารจะขาดทุนจากการตั้งสำรองฯ ตามการตีมูลค่าตลาด (mark-to-market) เงินลงทุนใน CDO เป็นเงินกว่า 589 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธนาคารเชื่อมั่นว่าหลังจากครบกำหนดไถ่ถอนแล้ว ธนาคารจะได้รับเงินต้นทั้งหมดคืน พร้อมกับผลตอบแทนที่เหมาะสม เนื่องจากขณะนี้ธนาคารยังคงได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ LIBOR+1.56% หรือเท่ากับระดับ 6% ในปัจจุบัน
นายตัน คอง คูน ยังมั่นใจว่า ปีนี้ธนาคารจะมีผลการดำเนินงานกลับมาเป็นกำไรได้ หลังจากที่ปีที่แล้วธนาคารขาดทุนสุทธิราว 3,700 ล้านบาท เนื่องจากการขาดทุนในปีที่แล้วเป็นการขาดทุนจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและการตั้งสำรองตามการจัดชั้นคุณภาพสินเชื่อตามเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ในปีนี้การตั้งสำรองจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
"เมื่อดูเฉพาะผลการดำเนินงานในปีที่แล้ว จะเห็นว่าจริงๆ แล้วเรากำไร แต่ที่เห็นว่าเราขาดทุน เพราะเราต้องตั้งสำรองตามเกณฑ์ใหม่ของแบงก์ชาติ แต่ในปีนี้สำรองกลับมาเป็นปกติแล้ว ดังนั้น เราก็น่าจะกลับมามีกำไรได้" นายตัน กล่าว
สำหรับพอร์ตสินเชื่อของธนาคารหลังจากเข้าซื้อ GECAL แล้ว จะเป็นดังนี้ สัดส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอี จะลดลงเหลือ 34% จากปัจจุบันที่ 41% สัดส่วนสินเชื่อรายย่อยเพิ่มขึ้นเป็น 34% จากปัจจุบันที่ 21% และสัดส่วนสินเชื่อรายใหญ่ จะลดลงเหลือ 32% จากปัจจุบันที่ 38% แต่ในปีค.ศ. 2010 ธนาคารตั้งเป้าที่จะขยายสัดส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอีและรายใหญ่เป็น 50% และอีก 50% เป็นรายย่อยทั้งนี้ เนื่องจากธนาคารยังคงมุ่งเน้นที่จะขยายธุรกิจประเภท Consumer Banking อย่างต่อเนื่อง ร่วมกับการสนับสนุนธุรกิจของบริษัทในเครือ เพื่อเสริมความแตกต่างของกันและกัน และทำให้ธนาคารเติบโตอย่างยั่งยืน
--อินโฟเควสท์ โดย อภิญญา วุฒิเมธากุล/นิศารัตน์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--