นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีปริมาณขายปิโตรเลียมเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% ตั้งแต่ปีนี้จนถึงปี 2573 เพื่อให้การเติบโตของบริษัทเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ และจะเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมจากระดับ 5 ปี หรือระดับ 670 ล้านบาร์เรลในปัจจุบัน เพิ่มเป็น 7 ปี มาอยู่ที่ราว 900 ล้านบาร์เรล
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าหากได้เซ็นสัญญาเพื่อรับสิทธิเป็นผู้ดำเนินโครงการแหล่งบงกชและเอราวัณที่จะหมดอายุสัปทานในปี 65-66 ในช่วงปลายเดือนก.พ.นี้ก็คาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณสำรองให้ขึ้นมาอยู่ในระดับ 7 ปีได้
นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างทำดีลการซื้อกิจการ (M&A) ในภูมิภาค อย่างเมียนมา มาเลเซีย โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ รวมถึงในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้ายังจะมีความคืบหน้าที่เป็นข่าวดีในธุรกิจโรงไฟฟ้า (Gas to Power) ในเมียนมา ซึ่งบริษัทจะมีโอกาสขยายกำลังการผลิตปิโตรเลียมในแหล่งผลิตเดิมที่มีอยู่ และต่อท่อก๊าซธรรมชาติเพื่อส่งก๊าซฯไปใช้ผลิตไฟฟ้า โดยการดำเนินงานในส่วนธุรกิจไฟฟ้าก็จะเป็นความร่วมมือกับบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC)
นายพงศธร กล่าวว่า กลยุทธ์ของบริษัทจะเน้นการให้ความสำคัญกับการมองหาแปลงสำรวจเพิ่มขึ้น เพื่อนำมาพัฒนาและผลิตทดแทนปริมาณปิโตรเลียมในแหล่งผลิตที่มีอยู่ซึ่งจะทยอยลดลง โดยการพัฒนาแปลงผลิตเองนั้นจะให้ผลดีมากกว่าทั้งในเชิงปริมาณสำรอง ต้นทุน และมาร์จิ้น เมื่อเทียบกับการเข้าซื้อกิจการ โดยในปีนี้บริษัทวางเป้าขุดหลุมสำรวจในแหล่งสำรวจที่มีอยู่ 9 หลุมได้แก่ เมียนมา 5 หลุม มาเลเซีย 3 หลุม และออสเตรเลีย 1 หลุม และมองโอกาสการได้แหล่งปิโตรเลียมใหม่จากการที่ภาครัฐจะเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ในอนาคตด้วย
ส่วนความคืบหน้าโครงการโมซัมบิก โรวูมา ออฟชอร์ แอเรีย วัน คาดว่าจะสามารถตัดสินใจลงทุนได้ตามแผนภายในครึ่งแรกของปี 62 หลังคาดว่าเร็ว ๆ นี้โครงการจะสามารถลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ได้ครบปริมาณขั้นต่ำที่ 8 ล้านตัน/ปี แต่ในส่วนนี้จะยังไม่ใช่ปริมาณซื้อจาก บมจ.ปตท. (PTT)