นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ (4-8 ก.พ.) เคลื่อนไหวทรงตัวในเชิงบวก (sideway up) ต่อจากสัปดาห์ก่อน โดยคาดว่าดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,640-1,680 จุด หลังจากปัจจัยสำคัญเรื่องการเจรจาการค้าของสหรัฐฯกับจีนที่ลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยผู้นำทั้งสองประเทศเตรียมที่จะพบกันเพื่อเจรจากันอีกครั้งในวันที่ 27-28 ก.พ.
รวมถึงปัจจัยบวกธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ถือเป็น 2 ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดค่อนข้างมากแม้จะรับรู้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ภาพที่มีความชัดเจนขึ้นทำให้นักลงทุนมีความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจและเรื่องดอกเบี้ยขาขึ้นน้อยลง จึงเชื่อว่าจะยังคงเป็นแรงบวกสำคัญต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะเดียวกันเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าตามทิศทางดอกเบี้ยยังเป็นแรงบวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ , น้ำมันและทองคำด้วย
ส่วนปัจจัยในประเทศ เงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ ยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยในเดือน ม.ค. มีตัวเลขซื้อสุทธิเป็นเดือนแรก ที่ 6.7 พันล้านบาท หลังจากถูกขายติดต่อกันมา 15 เดือน ถึง 3.2 แสนล้านบาท รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทที่ขึ้นไปแตะ 31.3 บาทต่อดอลลาร์ หรือปรับขึ้นราว 3% จากปลายปีก่อน เป็นสัญญาณว่านักลงทุนต่างประเทศกลับมาให้ความสนใจต่อตลาดหุ้นไทย จากก่อนหน้านี้ที่ให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มากกว่า ซึ่งจากการที่เงินบาทแข็งค่า ยังเป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่มที่มีหนี้ในสกุลเงินดอลล่าร์และกลุ่มผู้นำเข้าสินค้าไอที , น้ำมัน-ปิโตรเคมี , ไฟฟ้า ด้วย ซึ่งหุ้นหลัก ๆ ของกลุ่มนี้ ได้แก่ EGCO, PTT, TOP , GULF, PTTGC , MSC , SYNEX เป็นต้น
ขณะเดียวกันผลจากการกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจนทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อหุ้นในช่วงที่ผ่านมา และในช่วงสัปดาห์นี้จะเข้าสู่ช่วงของการรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในวันที่ 4-8 ก.พ. และเปิดเผยชื่อตัวแทนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคพร้อมทั้งการหาเสียงเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ หากผลการเลือกตั้งมีแนวโน้มที่จะเป็นบวกต่อตลาด นั่นคือ รัฐบาลมีเสถียรภาพ เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง ดัชนีฯก็จะเดินหน้าต่อไปได้อีกครั้ง
"KTBST เชื่อว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมาน่าจะออกมาในทางที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นมากกว่าที่จะเป็นลบ อีกประเด็นที่ต้องติดตามคือ ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 หากยังมีค่าอยู่ในระดับสูงต่อไปจะมีผลกระทบต่อธุรกิจหรือหุ้นที่อิงกับการท่องเที่ยว รวมถึงมาตรการที่ออกมาอาจคุมการใช้รถยนต์ ซึ่งจะมีผลต่อปริมาณการใช้น้ำมันที่จะลดลงไปด้วย"นายวิน กล่าว