นายวิเชียร แพทยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ้าพระยามหานคร (CMC) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท โดยจะมีสัดส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายราว 2,700 ล้านบาท หรือราว 90% และรายได้จากรับเหมาก่อสร้างราว 300 ล้านบาท หรือราว 10%
ในส่วนของโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายนั้น บริษัทวางเป้าหมายยอดขายปีนี้ราว 5,000 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีโครงการพร้อมขายในมือราว 3,200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถจำหน่ายและโอนกรรมสิทธิ์ได้ราว 2,200 ล้านบาท ขณะที่มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 70-80% จะแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ราว 500 ล้านบาท
พร้อมทั้งมีแผนเปิดโครงการใหม่ราว 9-10 โครงการ มูลค่าราว 9,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งในข่วงครึ่งปีแรกจะเปิดแบรนด์ใหม่สำหรับคอนโดมิเนียมพร้อมกัน 3 แบรนด์ ได้แก่ CUVEE, CLEV และ CYBIQ ที่จะพัฒนา 5 โครงการใหม่ มูลค่ารวมมากกว่า 4,000 ล้านบาท ได้แก่ 1) CLEV วงศ์สว่าง 615 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท 2) CUVEE ติวานนท์ 422 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท เป็นโครงการที่ให้ความสำคัญกับสมาร์ทเทคโนโลยี และดิจิตอลไลฟ์สไตล์ 3) CYBIQ รามคำแหงแคมปัส 126 ยูนิต มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท 4) CYBIQ รัชดา-จันทรเกษมแคมปัส 329 ยูนิต มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท และ 5) โครงการทาวน์โฮม Kasa Deva มูลค่าโครงการรวม 80 ล้านบาท เน้นเจาะกลุ่มฐานลูกค้าเดิมของบริษัทฯที่มีความต้องการ ทาวน์โฮม หรือ โฮมออฟฟิซ
บริษัทเตรียมออกแคมเปญการตลาดเพื่อจูงใจและกระตุ้นการขายต่อเนื่องตลอดทั้งปี และเร่งเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านกลุ่มเอเย่นต์มากขึ้น ทั้งเอเย่นต์องค์กร และเอเย่นต์อิสระ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ยอดขายและรายได้ในปีนี้สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน พร้อมกันนี้บริษัทยังมีที่ดินรองรับอย่าง 5 ปี เพื่อพัฒนาโครงการ และวางงบลงทันอีกราว 1,000-2,000 ล้านบาทเพื่อใช้ในการซื้อที่ดินใหม่
"บริษัทยังคงมั่นใจในเรื่องของตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวสูงที่ได้เลือกที่ตั้งโครงการ และมีราคาขายที่เหมาะสม ซึ่งลูกค้าหลักของบริษัทเป็นผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองสูงถึง 90% และส่วนที่เหลือ 10% ลงทุนเพื่อปล่อยให้เช่า และน้อยกว่า 1% ที่ซื้อเพื่อเก็งกำไร เราจึงไม่กลัวการชะลอตัวของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย เพราะความต้องการของผู้อยู่อาศัยจริงยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง"นายวิเชียร กล่าว
ด้านรายได้จากงานรับเหมาก่อสร้าง ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ราว 200 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ทั้งหมด และอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่ราว 700-800 ล้านบาท โดยจะทยอยรู้ผลต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้บริษัทมีเป้าหมายจะประมูลงานราว 1,200-2,000 ล้านบาท เน้นโครงการภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล โรงเรียน และมหาวิทยาลัย ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ว่าจ้าง
ขณะที่บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10% จากที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 5-6% โดยจะเน้นการบริหารจัดการต้นทุน และภาระหนี้สินลดลงจากการชำระคืนเงินกู้บางส่วนจากเงินที่ระดมทุนได้ ทำให้ในปีนี้บริษัทจะสามารถลดต้นทุนทางการเงินลงได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยล่าสุดอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (IBD/E) ลดลงเหลือเพียง 0.9 เท่า
https://youtu.be/BPnS0-7QYLo