นายสเปญ จริงเข้าใจ กรรมการผู้จัดการ บมจ.จีแคปปิตอล (GCAP) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการปี 62 คาดว่ารายได้และกำไรสุทธิจะเติบโตต่อเนื่องจากปี 61 เบื้องต้นวางเป้าหมายสินเชื่อใหม่ขยายตัว 25-30% โดยจะเน้นขยายฐานลูกค้าในสินเชื่อที่มีหลักประกันและสินเชื่อเช่าซื้อเป็นหลัก เช่น สินเชื่อสบายใจอันดามัน ซึ่งเป็นบริการสินเชื่อเช่าซื้อสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจเรือท่องเที่ยว และสบายใจเกษตรกร สินเชื่อเช่าซื้อสำหรับเครื่องจักรกลการเกษตร เนื่องจากฐานลูกค้าปัจจุบันยังไม่มากทำให้มีโอกาสในการเติบโตสูง
ส่วนความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ "สบายใจมันนี่" ร่วมกับ บริษัท 9F International Holding PTE. LTD (9F) ซึ่งเป็นบริษัททางการเงินชั้นนำจากประเทศจีนได้ลงนามร่วมทุนอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 51% และ 9F ถือหุ้นในสัดส่วน 49%
ทั้งนี้ ขั้นตอนการยื่นคืนใบอนุญาตสินเชื่อส่วนบุคคล (พีโลน) ของบริษัทแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พร้อมกับขอใบอนุญาตสินเชื่อส่วนบุคคลใหม่ในนามบริษัทร่วมทุนนั้น คาดว่าจะเสร็จสิ้นและสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงไตรมาส 2 ปี2562 ได้ตามแผน
นอกจากนี้ ตามที่ ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2561 ของบริษัทเมื่อวันที่ 6 พ.ย.61 ได้อนุมัติการออกหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น มูลค่าตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 50 ล้านบาท เพื่อเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) อัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุน ราคาเสนอขายหุ้นละ 2 บาท กำหนดให้วันที่ 13 พ.ย.61 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น (Record Date) โดยกำหนดการจองซื้อและชำระค่าหุ้นวันที่ 27-30 พ.ย.61 และ 3 ธ.ค.61 นั้น บริษัทได้แจ้งเลื่อนวันจองซื้อหุ้นสามัญดังกล่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทได้กำหนดระยะวันเวลาจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน และชำระเงินค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนเป็นวันที่ 14-21 ก.พ.62 (รวม 5 วันทำการ) โดยสามารถจองซื้อหุ้นและชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้ที่ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)
ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทในงวดปี 61 มีกำไรสุทธิ 54.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.87 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 103.15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.02 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับรายได้รวม โดยงวดปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 306.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 107.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 54.28% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 198.60 ล้านบาท
เนื่องจากบริษัทได้มีการขยายตลาดสินเชื่อเช่าซื้อผ่านพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาคอุตสาหกรรมการเกษตร และภาคการท่องเที่ยว ให้มีความหลากหลายและครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยมียอดการปล่อยสินเชื่อใหม่รวมจำนวน 1,180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สัดส่วนการปล่อยสินเชื่อใหม่แบ่งเป็นสินเชื่อเช่าซื้อ 69% และสินเชื่อส่วนบุคคลและนิติบุคคล 31 %