นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการ บล.กสิกรไทย (KS) กล่าวว่า ในปี 2551 บริษัทจะวางกลยุทธทางธุรกิจร่วมกับเครือกสิกรไทยอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
ประธานกรรมการ KS กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทฯยังเจรจาพันธมิตร(Partner)อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ยังไม่สามารถตกลงอะไรกันได้ในขณะนี้ เนื่องจากบริษัทฯต้องการที่จะพัฒนาตัวเองให้สูงกว่านี้ เพื่อที่การเจรจาต่อรองจะได้ไม่เสียเปรียบ อย่างไรก็ดี คาดว่าภายในปีหน้า(2552)น่าจะเห็นผลการเจรจาได้ชัดเจน ซึ่งพันธมิตรที่จะเข้ามานี้จะเป็นลักษณะ stategic partner ไม่ได้เข้ามาร่วมถือหุ้นในบริษัทฯ เพราะเชื่อว่าผู้ถือหุ้นใหญ่คือธนาคารกสิกรไทย (KBANK) คงจะยังไม่ต้องการเปิดในตอนนี้
บริษัทคาดว่าในปีนี้ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์จะมีความผันผวนมากขึ้น แม้ว่าการเมืองจะมีความชัดเจน แต่ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะหดตัว ซึ่งจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยด้วย ดังนั้นบริษัทจะให้บริการ TFEX, การทำ short-sell และ SBL เพิ่มเติมเพื่อเป็นเครื่องมือที่ใช้บริหารความเสี่ยงและสามารถสร้างผลตอบแทนได้ทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นและลง
นางสาวณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ตั้งเป้ารายได้ปีนี้(2551)ที่ 470 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่มีรายได้รวม 350 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจหลักทรัพย์ 75% รายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจ 25% จากปัจจุบันที่บริษัทฯมีรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ 70% และธุรกิจวาณิชธนกิจ 30%
ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ปี 51 ที่ 2% จากปี 50 ที่มี 1.06% เพิ่มจากปี 49 ที่มี 0.51% โดยมีเป้าหมายที่จะมีสัดส่วนนักลงทุนสถาบันต่อนักลงทุนบุคคลเป็น 40:60 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 30:70
ปัจจุบันบริษัทฯได้ปล่อยมาร์จินโลน(สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์)ให้ลูกค้าไป 400 ล้านบาทแล้ว และคาดว่าปีนี้(2551)จะปล่อยมาร์จินให้เข้าเป้าที่ 800 ล้านบาท การปล่อยมาร์จินให้ลูกค้านี้ทางบริษัทฯได้มีการสกรีนก่อนรอบหนึ่ง เพื่อความปลอดภัยในการลงทุน และทำให้ขณะนี้บริษัทถือได้ว่าไม่มีหนี้เสียเลย นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยของการปล่อยมาร์จินของบริษัทฯก็ถือว่าถูกที่สุดแค่ 5.25% เท่านั้น น้อยกว่าค่าเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยของทั้งตลาดฯที่มีอยู่ประมาณ 6%
ปีนี้(51)บริษัทฯคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาและเปิดรับมาร์เก็ตติ้ง รวมถึงใช้ในการลงทุนเปิดให้บริการเทรดตราสารอนุพันธ์ ซึ่งบริษัทฯจะขอใบอนุญาตเข้าเป็นสมาชิกของตลาดอนุพันธ์ในปีนี้ และคาดว่าจะเปิดให้บริการลูกค้าได้ในช่วงไตรมาส 3/51
ในปีนี้(2551)บริษัทฯจะให้ความสำคัญกับงานวิเคราะห์หลักทรัพย์มากขึ้น ทั้งในแง่ของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์เทคนิค โดยจะเริ่มเห็นได้ในไตรมาส 2/51 ซึ่งบทวิเคราะห์ฯนี้จะจัดทำขึ้นมาเพื่อให้บริการลูกค้าสถาบันและรายย่อยได้เป็นอย่างดี โดยปีนี้มองว่า marketing timing เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับปีนี้ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องอาศัยบทวิเคราะห์ฯมาเป็นแนวทางในการตัดสินใจลงทุน
นอกจากนี้ บริษัทฯจะเน้นคุณภาพของมาร์เก็ตติ้งด้วย โดยจะมีการพัฒนาให้มีคุณภาพในการให้บริการ ซึ่งการพัฒนานี้จะทำให้มาร์เก็ตติ้งเองก็มีวอลุ่มเทรดเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยขณะนี้บริษัทฯมีมาร์เก็ตติ้งอยู่ 74 คน มาร์เก็ตติ้งทำวอลุ่มได้ 5.2 ล้านบาท/วัน/คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนนี้ที่มาร์เก็ตติ้งทำวอลุ่มได้แค่ 3 ล้านบาท/วัน/คน และตั้งเป้าจะให้มาร์เก็ตติ้งให้ได้ 9 ล้านบาท/วัน/คนภายใน 3 ปีข้างหน้า
"มาร์เก็ตติ้งของเราต้องแตกต่างจากบริษัทหลักทรัพย์อื่นจริง ๆ ในการให้บริการ เช่น มาร์เก็ตติ้งจะต้องอ่านบทวิเคราะห์ได้จริง ๆ และสามารถนำมาใช้ได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับลูกค้า ปัจจุบันมาร์เก็ตติ้งของบริษัทประมาณ 90% ได้เปลี่ยนการจ่ายผลตอบแทนมาเป็นเงินเดือนประจำแล้ว ซึ่งการทำเช่นนี้เพื่อที่เราต้องการที่จะให้มาร์เก็ตติ้งทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์กับลูกค้าจริง ๆ โดยที่มาร์เก็ตติ้งไม่ต้องดิ้นรนตั้งหน้าตั้งตาหาวอลุ่ม และไม่ต้องไปผันผวนอยู่ที่อื่นด้วย โดยเรายังมีการให้ความรู้ ให้การพัฒนา รวมถึงให้ลูกค้าเพิ่มแก่มาร์เก็ตติ้ง"กรรมการบริหาร KS กล่าว
สำหรับส่วนงานธุรกิจวาณิชธนกิจในปีนี้(2551) คงจะเน้นทำงานกับเครือกสิกรไทย โดยปีนี้มีงานในมือ 8 ชิ้น เป็นงาน IPO 4 งาน มูลค่า 9,000 ล้านบาท และงาน M&A 4 งาน ซึ่งงานชิ้นแรกของ IPO ที่คาดว่าจะออกเป็นการเสนอขายหุ้นของบมจ.น้ำประปาไทย โดยยังคงยืนยันว่าจะเสนอขาย IPO ได้ในครึ่งแรกของปีนี้(2551) ซึ่งน่าจะออกขายได้ช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม อย่างไรก็ตามคงจะต้องขึ้นอยู่กับภาวะตลาดหุ้นไทยด้วย
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--