บมจ.พีเออี (ประเทศไทย)(PAE)เชื่อปีนี้จะเห็นผลอย่างชัดเจนจากการปรับเปลี่ยนธุรกิจมาสู่งานก่อสร้างในอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันและก๊าซ เพื่อเลี่ยงสถานการณ์งานสร้างโครงการาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในประเทศค่อนข้างจะมีปัญหา โดยอาศัยความชำนาญของพันธมิตรใหม่เป็นส่วนสนับสนุนสำคัญ พร้อมหันเน้นรับงานในแถบตะวันออกกลาง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการปีนี้ทำให้มีโอกาสพลิกกลับมาเป็นกำไรได้
นายศุขสนั่น โชติกเสถียร กรรมการผู้จัดการ PAE เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า เบื้องต้นบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 51 ที่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จากปี 50 ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 500-600 ล้านบาท โดยจะหันมาเน้นรับงานในแถบตะวันออกกลางตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งอาจจะพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นกำไรได้
เนื่องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ GLOBAL PROCESS SYSTEMS INC.(GPS) ที่เข้ามาเป็น Strategic Partner ของบริษัท มีความชำนาญทางด้านวิศวกรรมและก่อสร้างเป็นทิศทางเดียวกับที่บริษัทดำเนินการอยู่ โดยมีเทคโนโลยีความสามารถในการออกแบบและโครงสร้าง ซึ่ง PAE ไม่มี
"การร่วมมือกันทำให้เราขยายงานและมีความสามารถทางด้านวิศวกรรมมากขึ้น ประกอบกับ GPS เองมีงานในมืออยู่แล้วทั้งตะวันออกกลาง มาเลเซีย สิงคโปร์มีความต้องการพื้นที่และด้วยศักยภาพในการก่อสร้างเพิ่มเติมทำให้เรามี capacity ที่ดีมาก"นายศุขสนั่น กล่าว
สำหรับผลประกอบการปี 50 น่าจะยังมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ประมาณ 20 กว่าล้านบาท จากงวด 9 เดือนมีผลขาดทุนสุทธิ 17 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมาสถานการณ์ตลาดทางด้านงานโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในประเทศไทยค่อนข้างจะมีปัญหา และในไตรมาส 4/50 ก็ยังขาดทุนต่อเนื่องจากไตรมาส 3/50 ที่มีผลขาดทุนกว่า 8.10 ล้านบาท
แต่จากนี้ไปบริษัทจะหันไปเน้นงานด้านวิศวกรรมในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ(oil&gas)ให้เป็นธุรกิจหลัก ซึ่ง PAE มีชื่อเสียงทางด้านนี้อยู่แล้ว โดยคาดว่าปี 51 ถึงจะเห็นผลจากการปรับเปลี่ยนธุรกิจหลักดังกล่าว
"ผมเพิ่งเข้ามาทำงานจึงต้องปรับทิศทางของธุรกิจจากเดิมที่เน้นด้านโทรคมนาคม ไปทางด้านกระบวนการผลิตน้ำมันและก๊าซ ซึ่ง PAE มีชื่อเสียงทางด้านนี้อยู่แล้วโดยคาดว่าปี 51 ถึงจะเห็นผลจากการปรับเปลี่ยนธุรกิจหลักดังกล่าว"นายศุขสนั่น กล่าว
นายศุขสนั่น กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะเน้นรับงานด้านวิศวกรรม ซึ่งได้แก่งานทำระบบ Upstream ให้กับบริษัท เชฟรอน, บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ซึ่งเป็นกลุ่มน้ำมันและปิโตรเลียม ส่วนด้านปิโตรเคมีที่มาบตาพุดมีงานทางด้านนี้ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทเพิ่งปรับโครงสร้างและ capacity หากดำเนินการเสร็จสิ้นก็จะเข้าไปคุยกับเจ้าของงานเหล่านั้น
ดังนั้น สัดส่วนรายได้ปี 51 จะมาจาก oil&gas (ขุดเจาะน้ำมัน) ประมาณ 50% กว่า ส่วนที่เหลือจะรักษางานพวกโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะเป็นงานโครงการเฉพาะไลน์ที่ทำอยู่ เช่น งานโรงไฟฟ้า งานท่อต่างๆ จากความคาดหวังที่จะได้งานดังกล่าวทำให้มั่นใจว่าผลประกอบการปี 51 น่าจะพลิกเป็นกำไรได้
*ปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรับงานใหญ่
นายศุขสนั่น กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทยังกำลังปรับโครงสร้างภายในองค์กรเพื่อให้สามารถรับงานใหญ่ได้ คาดว่าไตรมาส 2/51 คงจะมีความพร้อมในการรับงานใหม่ เบื้องต้นจะรับงานด้านประกอบชิ้นงานโลหะ(Fabrication)ในกระบวนการผลิตต้นน้ำในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ(Upstream Oil&Gas)เนื่องจากพันธมิตรเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจนี้ และมีลูกค้าอยู่แล้วทำให้เราสามารถเข้าไปทำงานได้ง่ายขึ้น และจะเน้นเข้าไปรับงานต่างประเทศมากขึ้นด้วย
"เนื่องจากเพิ่งเริ่มทำงานร่วมกัน เดือนนี้กำลังวางแผนเตรียมปรับกลยุทธ์อยู่คงต้องใช้เวลาประมาณ ก.พ.-มี.ค.นี้ ถึงจะตั้งเป้ารายได้ปี 51 ที่ชัดเจนได้ ตอนนี้อยู่ในช่วงการปรับตัว"นายศุขสนั่น กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะประชุมคณะกรรมการร่วมกับตัวแทนของ GPS ในเดือนก.พ.นี้เพื่อกำหนดแนวทางสำหรับที่จะเริ่มต้นทำงานด้วยกัน
ด้านฐานะทางการเงินดีขึ้น จากการที่มีการเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาเพิ่มทุนในบริษัทก็ทำให้บริษัทมีฐานะการเงินดีขึ้นและกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ที่เข้ามาก็เป็นกลุ่มอัลจาดา กับอาบูดาบี มีกำลังทางด้านการเงินดีมาก ซึ่งในอนาคตบริษัทคงรับงานต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะเป็นงานในลักษณะโปรเจ็คต์ต่อโปรเจ็คต์ โดยจะเน้นรับงานเอกชนเป็นหลัก
ทั้งนี้ โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ภายหลังการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่ GPS (จำนวน 100,537,500 หุ้น) ทุนจดทะเบียนเปลี่ยนเป็น 675,037,500 หุ้น โดย GPS ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง สัดส่วน 29.78% และหลังการใช้สิทธิ์วอแรนต์เป็นหุ้นสามัญจำนวน 254,363,362 หน่วย ทุนจดทะเบียนเปลี่ยนเป็น 929,401,362 หุ้น GPS ก็จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 49%
"ปัจจุบัน GPS ถือหุ้นอยู่ 17.50% หลังจากที่บริษัทเพิ่มทุนออกหุ้นสามัญขายให้กลุ่ม GPS กว่า 100 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.10 บาท GPS จะเพิ่มเป็นถือ 29.78% ซึ่งราคา 1.10 บาท/หุ้นนั้นถือว่าสูงกว่าราคาในกระดาน เพราะตอนที่เริ่มผมคุยกับพันธมิตรราคาหุ้นเทรดอยู่แถว 0.92 บาท แต่พอปัจจุบันหลังจากที่ข่าวออกมาราคาก็ขยับขึ้นไปแต่จริงๆ แล้วในช่วงที่ผมมารับหน้าที่เจรจาราคายังอยู่ต่ำกว่า 1 บาท หรือใกล้ 1 บาท หลังจากนั้นราคาก็ได้ปรับขึ้นมา"นายศุขสนั่นกล่าว
ทั้งนี้ คาดว่าเม็ดเงินเพิ่มทุนจำนวน 100 กว่าล้านหุ้น หุ้นละ 1.10 บาท จะเข้ามาในเดือนก.พ.นี้ หลังเพิ่มทุนทุนจดทะเบียนจะเพิ่มเป็นเกือบ 700 ล้านบาท หลังจากนั้นใช้สิทธิวอร์แรนต์จะทำให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 900 กว่าล้านบาท
*ราคาหุ้นผันผวนสูง คาดเก็งพันธมิตรใหม่จะทำให้บริษัทดีขึ้น
นายศุขสนั่น กล่าวว่า ราคาหุ้นที่มีความผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมา มองว่าการเข้ามาเก็งกำไรคงเป็นเพราะกลุ่มนักลงทุนคาดว่าบริษัทจะดีขึ้นหลังพันธมิตรใหม่เข้ามา เพราะเราอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลกระทบทางด้านราคาน้ำมันน้อยที่สุด และมีผู้ถือหุ้นมาจากตะวันออกกลาง ซึ่งบริษัทก็มั่นใจว่าในอนาคตบริษัทจะดีขึ้น ส่วนจะเป็นนักลงทุนกลุ่มใดนั้น ไม่ทราบ เพราะเรามีหน้าที่ที่จะปฏิบัติและจัดการให้บริษัทกลับมาในทิศทางที่มั่นคงและสามารถดำเนินการต่อได้ แต่ไม่ได้ห่วงด้านราคาหุ้น
"หุ้นผันผวนมากเพราะคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางด้านผู้ถือหุ้นใหม่ ก็น่าจะดี นักลงทุนจึงเข้ามาเก็งกำไร" นายศุขสนั่น กล่าว
โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 บริษัทมีขาดทุนสะสมจำนวน 78.76 ล้านบาท
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--