นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เปิดเผยว่า บริษัทออกกองทุนเปิด "ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล โกลบอล อินโนเวชั่น" หรือ CIMB-Principal Global Innovation Fund (CIMB-PRINCIPAL GINNO) เป็นครั้งแรก มีนโยบายลงทุนในกองทุนต่างประเทศที่เข้าลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำทั่วโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็น Megatrend ของโลก ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล ออโตเมชั่นและหุ่นยนต์ เทคโนโลยีการดูแลรักษาสุขภาพและธุรกิจที่จับลูกค้ากลุ่ม Millennials โดยจะเสนอขายระหว่างวันที่ 11-15 ก.พ.นี้
กองทุนมีทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท สั่งซื้อขั้นต่ำครั้งละ 5,000 บาท โดยกองทุนไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล และจะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
ทั้งนี้ จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงและความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน, การแยกตัวของอังกฤษจากสหภาพยุโรป (Brexit), การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทีมจัดการลงทุนจึงแนะนำให้กระจายการลงทุนเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนในระยะสั้น โดยมองว่าเป็นโอกาสดีที่จะเข้าซื้อหน่วยลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลกที่ยังมีโอกาสเติบโตที่ดี
ทีมจัดการลงทุนจึงได้ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลกที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็น ‘Megatrend’ ของโลก พบว่าเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ โดยบริษัทชั้นนำในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตเมื่อปี 2543 เช่น Google, Amazon, Microsoft, Facebook, BMW ที่ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ล้วนแต่มีนวัตกรรมหรืออยู่ในธุรกิจที่เป็น Megatrend
ทั้งนี้ จากการศึกษา Megatrend ระดับโลกพบว่ามี 4 เรื่องที่น่าสนใจ ได้แก่ 1. Digitalization หรือการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การนำเทคโนโลยียุคใหม่อย่าง Internet of Things (IOT) หรือการเชื่อมโยงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ด้วยอินเทอร์เน็ต และระบบ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้เองเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพและลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการ ส่งผลให้ธุรกิจด้านอี-คอมเมิร์ช FinTech เติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ธุรกิจในกลุ่มเทคโนโลยียังมีโอกาสเติบโตได้อีก
2. ระบบ Automation และ Robotics การนำนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์หรือหุ่นยนต์เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยคาดว่านับจากปี 2560-2564 อุตสาหกรรมหุ่นยนต์จะเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยอุตสาหกรรมที่ใช้หุ่นยนต์มากที่สุดคือ ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ และส่วนใหญ่ถูกจำหน่ายให้แก่บริษัทในจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐฯ และเยอรมนี
3. Healthcare Technology เทคโนโลยีด้านการดูแลและรักษาสุขภาพ เนื่องจากประชากรทั่วโลกมีแนวโน้มใช้จ่ายเพื่อสุขภาพมากขึ้นและเน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา คาดว่าเมื่อถึงปี 2583 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อจีดีพีของประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
4. Millennials การให้ความสนใจกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคน Gen Y และ Gen Z ที่เกิดในช่วงปี 2523 – 2543 หรือมีอายุตั้งแต่ 19 – 39 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับเทคโนโลยีตลอดเวลา โดยคาดว่าในปี 2568 ประชากรกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนครึ่งหนึ่งของโลกและคิดเป็น 75% ของประชากรวัยทำงาน
สำหรับกองทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล โกล บอล อินโนเวชั่น มีจุดเด่นคือ การคัดเลือกธีมการลงทุนที่อยู่ใน Megatrend ของโลก โดยมีการจัดสรรการลงทุนโดยทีมจัดการลงทุนของ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ในสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมกับการลงทุนในแต่ละช่วงขณะ โดยมีมุมมองว่า การคัดเลือกธีมลงทุนและการจัดสรรพอร์ตการลงทุนโดยผู้จัดการลงทุนจะสามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีและจัดสรรความเสี่ยงการลงทุนให้กับพอร์ตลงทุนที่เหมาะสมให้กับผู้ลงทุนได้ โดยในการลงทุนเริ่มต้น ทีมจัดการลงทุนจะกระจายการลงทุนใน 4 ธีมลงทุน ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล (Digitalization) ออโตเมชั่นและหุ่นยนต์ (Automation & Robotics) เทคโนโลยีการดูแลรักษาสุขภาพ (Healthcare Technology) และธุรกิจที่จับลูกค้ากลุ่ม Millennials
ทั้งนี้ จะลงทุนผ่านกองทุน ETF จำนวน 5 กองทุน ที่บริหารจัดการโดย BlackRock Asset Management North Asia Limited, Principal Global Investors (Ireland) Limited, และ Global X Management Company, LLC ซึ่งจะลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต อาทิ B2W DIGITAL ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจอี-คอมเมิร์ชจากบราซิลที่มีอัตราเติบโตที่โดดเด่น, GARMIN ผู้ผลิตอุปกรณ์ GPS และนาฬิกาสำหรับผู้ออกกำลังกาย, Da Vinci ผู้ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์สัญชาติอเมริกัน, Dexcom ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ตรวจวัดระดับกลูโคสจากประเทศอเมริกา, NIKE ผู้ผลิตสินค้าและอุปกรณ์กีฬาชั้นนำของโลก ฯลฯ
จากการทดสอบ Model Portfolio จำลองของกองทุน CIMB-PRINCIPAL GINNO พบว่า แบบจำลองของกองทุน CIMB-PRINCIPAL GINNO ที่กระจายในธีมทั้ง 4 ให้ผลตอบแทน 23.88% ภายในระยะเวลาประมาณ 2 ปีตั้งแต่จัดตั้งกองทุนหลักกองสุดท้ายถูกจัดตั้งในเดือน กันยายนปี 2559 ซึ่งเป็นผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีอ้างอิง MSCI World Index มากถึง 9.25% (source: Bloomberg, data as of December 2018 –พอร์ตการลงทุนจำลองเป็นเพียงแบบจำลองการลงทุนโดยใช้ข้อมูลในอดีตในการคำนวณผลตอบแทน และผลตอบแทนดังกล่าวมิได้ยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต)
"กองทุน CIMB-PRINCIPAL GINNO เหมาะกับผู้ลงทุนในระยะกลางและระยะยาวที่ต้องการกระจายการลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่านกองทุนรวม โดยเรามองว่าภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เติบโตช้าลง ถือว่าจังหวะที่จะกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีนวัตกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลก"นายวิน กล่าว