นายเฮ็นริคคัส แวน เวสเทนดร็อป ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บมจ.ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด (ASIAN) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดตัวแบรนด์ใหม่ "มองชู" (monchou) เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดอาหรสัตว์เลี้ยงที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ 200 ล้านบาท ภายใน 3 ปี ผ่านการสร้างแบรนด์และจัดกิจกรรมทางการตลาดทั่วประเทศ รวมถึง CLMV คาดว่าจะใช้งบประมาณในการสร้างแบรนด์ราว 50 ล้านบาท โดยเจาะกลุ่มร้านค้าประเภท Pet Shop โรงพยาบาลสัตว์ และช่องทางโมเดิร์นเทรดกลุ่ม พรีเมี่ยมเป็นหลัก รวมทั้งเสริมช่องทางการจำหน่าย ขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดออนไลน์ด้วย
เมื่อเดือน ต.ค. 61 บริษัท ได้ดำเนินการ Pre-Launch ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ "มองชู" (monchou) เป็นที่เรียบร้อยแล้วในประเทศจีนและได้รับการตอบรับที่ดี จึงประเมินศักยภาพการเติบโตของผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศจีนค่อนข้างสูง เนื่องจากในปัจจุบัน ลักษณะที่อยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของชาวจีนส่งเสริมให้มีจำนวนผู้รักสัตว์เพิ่มขึ้น สะท้อนจากการขยายเมืองใหม่อย่างต่อเนื่อง และมีรูปแบบที่อยู่อาศัยที่ทันสมัย สะดวกสบายและรองรับไลฟ์สไตล์เลี้ยงสัตว์ภายในครอบครัว ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะแถลงแผนการตลาดในประเทศจีนได้เร็วๆ นี้
"โอกาสการเติบโตในประเทศจีนยังมีอีกมาก แต่การจะเข้าไปเติบโตนั้นจะต้องมีฐานการผลิตในนั้นด้วย ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบของพันธมิตร การเข้าซื้อกิจการ หรือการลงทุนก่อสร้างโรงงานเอง ซึ่งตอนนี้เราก็อยู่ระหว่างศึกษาอยู่ว่าจะออกมาในรูปแบบใด ซึ่งในตลาดจีนเองเราตั้งเป้าว่าอีก 3 ปี จะมีรายได้จากการขายอาหานสัตว์มาเป็นราว 600 ล้านบาท"นายเฮ็นริคคัส กล่าว
นายเฮ็นริคคัส กล่าวว่า สำหรับในปี 62 คาดว่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงจะมีมูลค่ารวมอยู่ประมาณ 36,000 ล้านบาท เติบโตอยู่ที่ 10% โดยตลาดกลุ่มอาหารสัตว์พรีเมี่ยมจะอยู่ที่ 4,600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทเห็นเป็นโอกาสในการขยายฐานธุรกิจดังกล่าว ขณะที่วางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัทจะเพิ่มเป็นกว่า 40% ภายในระยะเวลา 3 ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 32-33% โดยในปีที่ผ่านมากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตในระดับกว่า 20% และในปีนี้ก็ยังคงมั่นใจว่าจะเติบโตได้ในทิศทางดีต่อเนื่องหรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 20%
ทั้งนี้ ในวันที่ 20 ก.พ. บริษัทจะประกาศแผนการดำเนินธุรกิจ และข้อมูลทางการเงินของปี 62 ซึ่งจะเน้นพัฒนาสินค้าธุรกิจอาหารสำหรับคนให้เป็นสินค้ามูลค่าเพิ่มมากขึ้น ส่วนกรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น บริษัทได้ทำประกันภัยป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันบริษัทมีกลยุทธ์ด้วยการปรับเพิ่มราคาขายสินค้า โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของมาจากการส่งออก 70% ส่วนอีก 30% เป็นรายได้จากในประเทศ
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นบริษัทตั้งงบลงทุนราว 500 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนในคลังสินค้าอัตโนมัติราว 300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ อีกราว 100 ล้านบาท ใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มกำลังการผลิต และส่วนที่เหลืออีกราว 100 ล้านบาท จะใช้ในการลงทุนเพื่อขยายตลาดในประเทศจีน ซึ่งอาจจะเป็นการก่อสร้างโรงงานผลิต หรือการเข้าซื้อกิจการ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาถึงความเหมาะสม
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/61 อาจถูกกระทบจากการตั้งสำรองสินค้าคงเหลือประเภทบรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งเบื้องต้นยังไม่สามารถระบุมูลค่าที่ชัดเจนได้