บล.เออีซี (AEC) มองดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) สัปดาห์นี้แกว่งตัวในกรอบ 1,630-1,665 จุด ขณะที่ตลาดจะให้ความสำคัญต่อความเคลื่อนไหวของปัจจัยต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นการปิดหน่วยงานรัฐบาล (ชัตดาวน์) ของสหรัฐ หลังในวันที่ 15 ก.พ.นี้จะครบกำหนดที่งบประมาณชั่วคราวสำหรับหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯจะหมดลง แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องงบประมาณสร้างกำแพงชายแดนเม็กซิโกได้ อีกทั้งการรายงานตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐ ก็อาจชะลอตัวจากผลกระทบสงครามทางการค้าและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
แม้ว่าในสัปดาห์นี้จะมีการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ,นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีของจีน แต่ด้วยผู้นำสหรัฐฯ นายโดนัล ทรัมป์ และประธานาธิบดีของจีน นายสี จิ้นผิง ยังไม่ได้มีการเจรจาก่อนกำหนดวันขึ้นภาษีสินค้าในวันที่ 2 มี.ค.นี้ ทำให้การเจรจาการค้ายังมีความไม่แน่นอน
ส่วนปัจจัยในประเทศที่ยังมีสัญญาญเชิงบวกด้านการลงทุนมากขึ้น การเลือกตั้งที่มีความคืบหน้าชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ คาดช่วยกระตุ้นให้มีซื้อกลับจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นตาม เพราะดัชนีหุ้นไทย Laggard สุดในกลุ่ม TIP Market โดยนับตั้งแต่ต้นปีนี้ นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ 430 ล้านดอลลาร์, อินโดนีเซีย 998 ล้านดอลลาร์ และไทย 243 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ฝั่ง Valuation จาก Bloomberg Consensus พบว่าตลาดหุ้น ฟิลิปปินส์ ซื้อขายที่ระดับ P/E ปีนี้ที่ 17.6 เท่า, อินโดนีเซีย ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 15.1 เท่า และไทย ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 14.1 เท่า
ดังนั้น แนะนำการลงทุน 3 กลุ่มหุ้นเด่น 1. กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภค แนะนำ AMATA, WHA และ EASTW ซึ่งได้อานิสงส์บวกทั้งราคาขายและยอดขายพื้นที่ในเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 2. กลุ่มจำนำทะเบียนรถ แนะนำ SAWAD, MTC และ AMANAH รับผลบวกจากกฎระเบียบมีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยสรุปเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุถึงการควบคุมผู้ให้บริการในระดับประเทศ และ 3.หุ้นกลุ่มที่คาดงบการเงินปี 2561 กำไรโตเด่นเมื่อเทียบจากปีก่อน และ Consensus ยังคาดโตต่อในปี 62 แนะนำ JMT, PLANB และ COM7