"ทริส"คงอันดับเครดิตองค์กร “EASTW" ที่ระดับ “A+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 23, 2008 08:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) ที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่มีโครงข่ายท่อส่งน้ำดิบครอบคลุมพื้นที่ในเขตชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก แนวโน้มการเติบโตที่ดีในธุรกิจให้บริการน้ำประปา และความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีปัจจัยสนับสนุนจากลักษณะธุรกิจที่ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาได้ยาก รวมทั้งรายได้ที่แน่นอนสม่ำเสมอ และความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของบริษัทมีข้อจำกัดบางประการจากความต้องการเงินลงทุนที่สูง ความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศ และนโยบายของรัฐบาลในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำซึ่งยังไม่มีกรอบที่ชัดเจน
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงความสามารถในการรักษาระดับกระแสเงินสดรับไว้ได้ อีกทั้งการประกอบธุรกิจจะไม่ถูกกระทบในทางลบจากการเปลี่ยนแปลงใดใดของนโยบายภาครัฐ โดยที่บริษัทจะมีโครงการขยายธุรกิจโดยไม่เพิ่มภาระหนี้ไปจากในระดับปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ
ทริสเรทติ้งรายงานว่า EASTW ได้ทำการไถ่ถอนหุ้นกู้จำนวน 2,500 ล้านบาทในเดือนตุลาคม 2550 ตามมติของผู้ถือหุ้นกู้หลังจากที่บริษัทได้กระทำผิดเงื่อนไขสัญญาหุ้นกู้ การกระทำผิดดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ของบริษัทลูกซึ่งบริษัทถือหุ้น 50% คือ บริษัท อีสเทิร์น โฮบาส ไพพ์ จำกัด ซึ่งส่งผลให้บริษัทต้องผิดเงื่อนไขสัญญาหุ้นกู้ไปด้วย สถานการณ์ดังกล่าวมิได้ส่งผลกระทบต่อสถานะอันดับเครดิตของบริษัทในทันทีเนื่องจากบริษัทยังคงแสดงความตั้งใจที่จะจ่ายคืนเงินกู้อยู่ โดยบริษัทได้ทำการกู้เงินเพื่อนำไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ภายในระยะเวลาที่กำหนดอย่างไม่ติดขัด อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบในด้านลบต่อจิตวิทยาของนักลงทุนบางกลุ่ม ทั้งนี้ บริษัทควรดำเนินการที่เหมาะสมกว่านี้โดยการเจรจาหาข้อตกลงกับผู้ให้กู้ก่อนที่จะเกิดการกระทำผิดเงื่อนไขสัญญาเงินกู้
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า EASTW ก่อตั้งในปี 2535 และเป็นผู้ให้บริการน้ำดิบเพียงรายเดียวในพื้นที่ 7 จังหวัดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ภาคเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการพัฒนาและดำเนินการดูแลระบบท่อส่งน้ำดิบ บริษัทเช่าและดำเนินการบริหารโครงการท่อส่งน้ำดิบจำนวน 4 โครงข่ายซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังเพื่อให้บริการในจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการน้ำประปาในเขตพื้นที่บริการอีก 9 แห่งด้วย ในรอบปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนกันยายน 2550 บริษัทมีรายได้รวม 2,400 ล้านบาท โดยรายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 63% ของรายได้ทั้งหมด และธุรกิจน้ำประปาคิดเป็น 20% ของรายได้ทั้งหมด
ในรอบปีงบประมาณ 2549/2550 รายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบของ EASTW ขยายตัว 13% จากปีก่อน สืบเนื่องจากการเติบโตของทั้งปริมาณน้ำดิบที่จำหน่ายและอัตราค่าน้ำดิบ พื้นฐานธุรกิจของบริษัทยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากความต้องการใช้น้ำดิบของภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกมีความแน่นอนสูง นอกจากนี้ บริษัทไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของคู่แข่งทางตรงในธุรกิจน้ำดิบไปอีกนานเนื่องจากบริษัทมีความพร้อมในด้านโครงข่ายท่อส่งน้ำและข้อจำกัดด้านเงินลงทุนที่สูงสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ บริษัทคาดว่าประสิทธิภาพในการบริหารและจัดสรรน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ ไปยังจุดให้บริการจะดียิ่งขึ้นเมื่อโครงการก่อสร้างท่อส่งน้ำประแสร์-คลองใหญ่แล้วเสร็จ สำหรับบริการน้ำประปานั้นยังมีแนวโน้มที่สดใสเนื่องจากจะมีโครงการน้ำประปาโครงการใหม่ๆ เปิดให้มีการประมูลในเร็วๆ นี้
การดำเนินธุรกิจที่มีการแข่งขันต่ำและมีรายได้ที่แน่นอนเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของ EASTW ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดภายในของบริษัทดีขึ้นในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา โดยเงินทุนจากการดำเนินงานในปี 2550 อยู่ที่ 791 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ 437 ล้านบาทในปี 2545 ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทก็ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
ในปีงบประมาณสิ้นสุด 2549/2550 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 17.4% อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 45.6% อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 49.1% เงินทุนจำนวน 1,115 ล้านบาทที่บริษัทได้รับจากการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามใบสำคัญแสดงสิทธิในเดือนพฤศจิกายน 2550 จะช่วยลดอัตราส่วนเงินกู้ของบริษัทลงไปที่ประมาณ 40% ในปี 2551 ภาระหนี้สินที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพื่อการลงทุนจะยังคงกดดันฐานะทางการเงินของบริษัท โดยบริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนในแต่ละปีประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งลดลงจาก 3,400 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2548/2549

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ