นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บลจ.บางกอกแคปปิตอล (BCAP) กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้ามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) เติบโต 30% จากสิ้นปีก่อนที่มี AUM รวมอยู่ที่ 3.25 หมื่นล้านบาท โดยการออกผลิตภัณฑ์จะมีลักษณะ Mass มากขึ้น รวมถึงพิจารณาถึงจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมในการออกกองทุน ETF ตามที่เคยวางไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งในครึ่งปีแรกคาดว่าจะสามารถออกกองทุนรวมที่มีการบริหารการลงทุนทั้งในและต่างประเทศแบบองค์รวมภายใต้กลยุทธ์ Global Asset Allocation โดยกองทุนนี้ BCAP จะทำการบริหารการลงทุนที่ไม่ไช่ Feeder Fund ไปกองทุนในต่างประเทศ
นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทจะเน้นไปที่การขยายกองทุนรวม (Mutual Fund) ให้เพิ่มขึ้น เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้ารายย่อยของบริษัท พร้อมกับเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มลูกค้ารายย่อยสามารถเข้าถึงกองทุนรวมในรูปแบบ Global Asset Allocation ได้ หลังจากที่บริษัทได้ให้บริการกองทุนรวมดังกล่าวกับลูกค้าที่ใช้บริการกองทุนรวมส่วนบุคคลไปแล้ว และให้มีอัตราผลตอบแทนที่ดีแก่ลูกค้า และจุดเด่นของกองทุนรวมแบบ Global Asset Allocation ของบริษัทจะเป็นการที่บริษัทบริหารกองทุนโดยตรงไม่ผ่าน Feeder Fund ทำให้อัตราค่าธรรมเนียมน้อยกว่ากองทุนรวมแบบเดียวกันของบลจ.อื่น ซึ่งกองทุนรวมรูปแบบ Global Asset Allocation บริษัทจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2/62 โดยที่เงินลงทุนขั้นต่ำที่ลูกค้าสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้เริ่มต้นที่ 500 บาท
สำหรับในปี 62 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของขนาดกองทุนแต่ละประเภทไว้ดังนี้ กองทุนรวม ตั้งเป้าเติบโต 100% หรือมาอยู่ที่กว่า 5 พันล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล ตั้งเป้าเติบโต 20% จากปีก่อนที่ 1.56 หมื่นล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตั้งเป้าเติบโต 10% จากปีก่อน 1.4 หมื่นล้านบาท ส่วนในช่วงต้นปีที่ผ่านมาการเติบโต AUM ของบริษัทถือว่ามีการเติบโตที่ดีอย่างมาก เนื่องจากมีลูกค้าให้ความสนใจเข้ามาซื้อกองทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และในช่วงต้นปีดัชนีตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศมีการปรับตัวขึ้น ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ในพอร์ตของลูกค้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ AUM ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
"จุดเด่นของ BCAP เป็นการที่เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์และมีมืออาชีพจากไทยและต่างประเทศ ที่เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการลงทุนต่าง ๆ ทั่วโลก สามารถจับจังหวะการลงทุนได้อย่างแม่นยำ และเรามีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ที่เราได้สร้างมาตั้งแต่เริ่มแรก ในลักษณะของจิ๊กซอว์ที่จะต่อกันได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงการที่เราเน้นบริหารการลงทุนโดยตรงที่ทำให้มีค่าธรรมเนียมถูกว่ารูปแบบ Feeder Fund มาถึงปีนี้เราก็อยากให้ลูกค้ามีโอกาสด้าน Global Investment มากขึ้น ซึ่งกระจายความเสี่ยงไปในหลาย ๆ ประเทศ และการลงทุนต่าง ๆ ในรูแปป Asset Allocation ซึ่งจะออกกองทุนรวมประเภทนี้มาในปีนี้ราว 4-5 กอง ตอบโจทย์ความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย"นางเมธ์วดี กล่าว
ด้านนายธนาวุฒิ พรโรจนางกูร หัวหน้าสายงานจัดการลงทุน BCAP กล่าวว่า มุมมองการลงทุนในปี 62 ในส่วนของด้านเศรษฐกิจโลกจะยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องในปีนี้ แต่จะเป็นการขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และการที่เศรษฐกิจโลกได้ผ่านจุดที่เติบโตในอัตราสูงสุดไปแล้วเมื่อต้นปี 61 ทำให้ตลาดและนักลงทุนค่อนข้างกังวลว่ามีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่สภาวะถดถอย (Recession) ได้ เนื่องจากวงจรเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวต่อเนื่องเกิน 10 ปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของบริษัทเชื่อว่า ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยจะไม่เกิดขึ้นในปีนี้ และเชื่อว่าตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับตัวสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว อีกทั้งท่าทีล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณว่าไม่มีความจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ส่งผลให้แรงกดดันต่อกระแสเงินทุนไหลออกในตลาดเกิดใหม่ถูกผ่อนคลายลงไปมาก เช่นเดียวกับประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯที่ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าสถานการณ์น่าจะเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่เป็นบวกมากขึ้น
โดยมองว่าในระยะสั้นดัชนีหุ้นทั่วโลกมีโอกาสสูงจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ แต่การปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกในรอบนี้มีค่อนข้างจำกัด และมีความเป็นไปได้น้อยที่จะกลับขึ้นไปแตะที่ระดับสูงสุดเดิมได้ เพราะขณะนี้ยังมีความไม่นอนอยู่หลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงประเด็น Brexit ด้วย
"การลงทุนในปี 62 จะเป็นปีที่ผู้ลงทุนควรต้องอาศัยมืออาชีพหรือผู้จัดการกองทุน เข้ามาบริหารพอร์ต โดยเฉพาะการจัดการสินทรัพย์ที่ต้องกระจายความเสี่ยงไปในทุกสินทรัพย์ทั่วโลก เพราะเราเห็นแล้วว่าในปีที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนในประเทศ ถูกกดดันจากปัจจัยภายนอกมาโดยตลอด ดังนั้นการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว จึงไม่ใช่กลยุทธ์การลงทุนที่ดีนัก ซึ่งคำแนะนำก็คือ นอกจากจะต้องกระจายความเสี่ยงไปต่างประเทศแล้ว สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย คือการใช้กลยุทธ์ลงทุนแบบ active หาโอกาสทำกำไรบ้าง ในจังหวะที่ตลาดเริ่มขยับขึ้นมาแพงแล้ว"นายธนาวุฒิ กล่าว