นายสมพล เอกธีรจิตต์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ลีซ อิท (LIT) เปิดเผยว่า ในปี 62 บริษัทฯได้ตั้งเป้าหมายยอดปล่อยสินเชื่อแตะระดับ 1.3 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปีก่อน โดยจะเน้นสินเชื่อกลุ่มประเภทที่มีแนวโน้มการขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง เช่น สินเชื่อเพื่อสนับสนุนโครงการ (Project Backup Finance) บริการรับซื้อหนี้การค้า (Factoring) และ สินเชื่อเพื่อออกหนังสือค้ำประกันซองประมูล (Bid Bond)
อนึ่ง ในปี 61 บริษัทมียอดปล่อยสินเชื่อ 10,980.26 ล้านบาท และมีพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อ 2,547.73 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทก็จะบริหารจัดการความเสี่ยง โดยมีนโยบายตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ (Reserve) ในสัดส่วน 5-7% ของยอดลูกหนี้คงเหลือสุทธิจากหลักประกัน เพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS 9 รวมไปถึงการบริหารจัดการพอร์ตสินเชื่อเพื่อกระจายความเสี่ยง
"ในปี 62 บริษัทยังคงมุ่งเน้นการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเตรียมโครงสร้างผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับธุรกิจ SME ให้มีสภาพคล่องหมุนเวียนที่สามารถแข่งขันได้ โดยมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้แผนงาน 3 ปี (Road Map 2561-2563 ) ควบคู่กับการบริหารจัดการความเสี่ยง และจะเน้นการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SME ทำงานกับภาครัฐเป็นหลัก ประกอบกับปีนี้ภาพรวมของงานภาครัฐมีโอกาสเติบโตได้ดีมาก เนื่องด้วยมีการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในหลวงรัชกาลที่ 10 และการเลือกตั้งปี 62 ซึ่งจะทำให้มีเงินสะพัด และคาดการณ์ว่าจำนวนลูกค้า SMEs จะเพิ่มขึ้นอีกด้วย"นายสมพล กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนารูปแบบการตลาดผ่านช่องทางดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง (Digital Marketing) อย่างเต็มที่ และในปีนี้คาดว่าจะสามารถเปิดวงเงินให้กับลูกค้าที่ได้รับจากช่องทางดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วน 10% ของจำนวนลูกค้ารายใหม่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นช่องทางที่จะช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่
ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ในระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มีความสะดวก และรวดเร็วขึ้น สนองความต้องการของลูกค้าได้รับอนุมัติสินเชื่อในเวลาเร็วกว่าเดิมมากขึ้น อีกทั้ง บริษัทฯได้มีการปรับโครงสร้างภายในองค์กรให้มีความคล่องตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความรวดเร็ว
ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 61 ถึงแม้ว่าการเติบโตจะดูต่ำลงเมื่อเทียบกับปีก่อนๆที่ผ่านมา แต่ด้วยรากฐานสินเชื่อที่ใหญ่ขึ้นจากการเติบโตมาตลอด 11 ปี ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมายังไม่เกิดอานิสงส์แก่ผู้ประกอบการ SMEs มากนัก แต่บริษัทก็ยังคงรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 445.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.14 ล้านบาท หรือ 6.24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 418.96 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 148.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.35 ล้านบาท หรือ 2.30% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 145.49 ล้านบาท