นายกานต์ ฮุนตระกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) เปิดเผยว่า เครือซิเมนต์ไทยเตรียมงบลงทุนกว่า 4 หมื่นล้านบาทในปีนี้ สูงกว่าปีก่อนที่ลงทุนไปกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท โดยจะลงทุนต่อเนื่องในปี 52-53 ส่วนระยะต่อจากนั้นได้มีการเตรียมขยายวงเงินออกหุ้นกู้ไว้อีก 5 หมื่นล้านบาทเพื่อเผื่อไว้หากต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมในช่วงหลังจากปี 53
วงเงินลงทุนดังกล่าวจะนำไปลงทุนโครงการที่บริษัทประกาศลงทุนก่อนหน้านี้ อาทิ โครงการโรงปูนซิเมนต์ที่กัมพูชา มูลค่าโครงการ 9 หมื่นล้านบาท โครงการโอเลฟินส์ ที่มาบตาพูด มูลค่าโครงการ 6 หมื่นล้านบาท โครงการผลิตกระดาษที่เวียดนาม ลงทุน 5 พันล้านบาท เป็นต้น โดยยังไม่รวมโครงการที่บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและมีแผนจะลงทุนเพิ่มเติมในภูมิภาคนี้
"ปี 51 บริษัทใช้เงินลงทุนจำนวนมากที่สุดตั้งแต่เริ่มโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในแผนการลงทุน โดยปีนี้จะลงทุนกว่า 4 หมื่นล้านบาท ปี 52 ก็คงจะลงทุนในระดับ 3-4 หมื่นล้านบาท แต่ปี 53 การลงทุนในโครงการต่างๆจะแล้วเสร็จ โดยโครงการที่เสร็จช้าที่สุดคือโครงการผลิตกระดาษ พอปี 53 เราอาจจะต้องมีการลงทุนเพื่อมาทดแทนโครงการที่แล้วเสร็จ" นายกานต์ กล่าว
เงินลงทุนในช่วงปี 51-53 ที่บริษัทกำหนดไว้จะนำมาจากเงินสดที่มีอยู่ แต่ได้มีการเพิ่มวงเงินออกหุ้นกู้อีก 5 หมื่นล้านบาท เป็น 1.5 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทจำเป็นต้องขอวงเงินไว้รองรับการลงทุนในอนาคต ซึ่งหลังจากปี 53 โครงการลงทุนตามแผนงานปัจจุบันจะแล้วเสร็จทั้งหมด
*คาดยอดขายปี 51 เติบโต 10% ซีเมนต์-วัสดุก่อสร้างฟื้นตัวรับการลงทุนโต
นายกานต์ คาดว่า ในปี 51 เครือปูนซิเมนต์ไทยจะมียอดขายเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2.68 แสนล้านบาท เพราะเชื่อว่าธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างจะฟื้นตัวขึ้นจากที่ผ่านจุดต่ำสุดมาในปีก่อน
สำหรับยอดขายที่โตขึ้นยังมาจากกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากธุรกิจกระดาษที่จะมีกำลังการผลิตเพิ่มอีก 2 แสนตัน/ปีในเดือนมี.ค.นี้ ที่ขอนแก่น ทำให้ภาพรวมในปี 51 ธุรกิจกระดาษจะมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 10% และธุรกิจปิโตรเคมีกลุ่มคาดจะมียอดขายเติบโต 4-5% มาจากกำลังการผลิต แต่ยอมรับว่าปีนี้มาร์จิ้นของปิโตรเคมีจะต่ำกว่าปี 50 ที่มีมาร์จิ้นกว่า 600 เหรียญ/ตัน แต่มั่นใจปี 51 มีมาร์จิ้นเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่า 500 เหรียญ/ตัน
และยังคาดว่าในปีนี้ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจะลดลงจกาปีก่อนที่บริษัทมีผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนราว 2-3 พันล้านบาท เพราะทางการจะมีมาตรการดูแลที่เข้มงวดในการดูแลค่าเงินบาท โดยสังเกตได้จากเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงในระยะ 1-2 วันที่ผานมา
"ปีนี้พยายามผลักดันยอดขายให้โตในระดับ 10% ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่ยาก และเราจะต้องทำให้ได้ แต่ก็จะต้องใช้ความทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เพราะปี 50 เราตั้งเป้าโต 5% แต่เราก็พลาดเป้าไปนิดหน่อยคือโตแค่ 4%"นายกานต์ กล่าว
นายกานต์ กล่าวว่า ปี 51 บริษัทไม่ได้กำหนดว่าจะต้องจ่ายปันผลปีละ 15 บาทต่อหุ้น แม้ว่า 4 ปีที่ผ่านมา จะจ่ายเงินปันผลในอัตรา 15 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นประมาณ 50-60%ของกำไรสุทธิ หลังจากนี้ บริษัทจะจ่ายปันผลตามภาวะกำไรที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งอาจจะน้อยหรือมากกว่า 15 บาทต่อหุ้นก็มีความเป็นไปได้
*คาดยอดขายปูนทรงตัว เชื่อภาพรวมฟื้นหลังมีรบ.ใหม่กระตุ้น
นายกานต์ กล่าวว่า ธุรกิจซีเมนต์ในปี 51 คาดว่ายอดขายปูนซีเมนต์ทั้งปี 51 จะมีประมาณ 28-29 ล้านตัน ใกล้เคียงกับปีก่อน หรือคาดว่าจะเติบโต 0 -5% ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ปูนในประเทศที่จะเพิ่มขึ้นหรือไม่
แต่ยอดส่งออกปีนี้คาดว่าจะลดเหลือประมาณ 7.5-8.0 ล้านตัน จากปีก่อนที่ส่งออก 8.1 ล้านตัน เนื่องจากราคาขายในต่างประเทศมีมาร์จิ้นน้อยจากค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น โดยประทศที่เน้นส่งออกในปีนี้จะอยู่ในแถบอาเซียนและเอเชียใต้ และลดการส่งออกไปสหรัฐเนื่องจากค่าขนส่งสูงและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
"ปีนี้เชือว่า ปริมาณการใช้ปูนในประเทศจะกลับมาเป็นบวก หลังจากที่ติดลบในปี 50 และเราก็ผลักดันส่งออกเพิ่มมากขึ้น"นายกานต์กล่าว
ส่วนการปรับขึ้นราคาปูนในประทศ บริษัทยังคงต้องการผลักดันเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทต้องแบกรับต้นทุน โดยเฉพาะต้นทุนพลังงาน และราคาปูนฯไม่ได้ปรับขึ้นมา 6 ปีแล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงพาณิชย์
ภาพรวมการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศปี 51 เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ยังเติบโตในกลุ่มของบ้านราคา 2-3 ล้านบาท คอนโดมิเนียม และทาวน์เฮ้าส์ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเข้าสู่ช่วงขาลง ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น ประกอบกับ การมีรัฐบาลใหม่จะผลักดันให้เกิดโครงการใหม่ โดยเฉพาะโครงการสาธารณูปโภค แต่คาดว่าจะใช้ปูนซีเมนต์จริงในไตรมาส 4 ปี51 ถึง ไตรมาส 2 ปี 52
นายกานต์ ให้ความเห็นภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 51 ว่าแม้จะมีปัญหาซับไพร์มของสหรัฐ และภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ไทยจะไม่เข้าสู่ภาวะวิกฤตเหมือนปี 40 เนื่องจากประเทศไทยมีประสบการณ์จากวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว และสังเกตุได้จากฐานะทางการเงินของบริษัทเอกชน ยังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำ ประกอบกับ GDP ปีนี้ คาดว่าโต 4.5-5.0% แต่ภาคการส่งออกคาดว่าจะส่งออกน้อยลง
"เศรษฐกิจสหรัฐจะกระทบเราบ้าง แต่ไม่มาก และผมไม่เชื่อว่าจะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจเหมือนปี 40 แต่อาจมีผลกระทบต่อภาคการส่งออกบ้าง" นายกานต์กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/เสาวลักษณ์/นิศารัตน์ โทร.0-2253-5050 ต่อ 322 อีเมล์: nisarat@infoquest.co.th--