บอร์ต ตลท.ปรับเกณฑ์รับหลักทรัพย์ หวังเพิ่มสินค้าแข่งตลาดเอเชีย

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 23, 2008 17:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เห็นชอบให้มีการปรับเกณฑ์รับหลักทรัพย์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าจดทะเบียนและกระตุ้นให้มีธุรกิจเข้าระดมทุนผ่านตลาดทุนมากขึ้น พร้อมเพิ่มความสามารถของตลาดทุนไทยในการแข่งขันด้านการเพิ่มสินค้าให้สามารถเทียบเคียงกับหลักเกณฑ์การรับหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย
ทั้งนี้ ได้มีการเสนอปรับหลักเกณฑ์ด้านการรับหลักทรัพย์ใน 4 ประเด็นหลัก คือด้านฐานะการเงินและการดำเนินงาน, ด้านการกระจายการถือหุ้น, ด้านช่วงเวลาห้ามขายหลักทรัพย์ และด้านการพิจารณาผ่อนผันหลักเกณฑ์ในเชิงปริมาณได้หากเป็นประโยชน์ต่อตลาดทุน
นายสุทธิชัย จิตรวาณิช รองผู้จัดการ ตลท.ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ วันนี้มีมติอนุมัติปรับเกณฑ์การรับหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาของคณะทำงานศึกษาแนวทางปรับปรุงกฎเกณฑ์บริษัทจดทะเบียน ซึ่งได้มีการหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ รวมถึงคณะอนุกรรมการสรรหาบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้หลักเกณฑ์รับหลักทรัพย์มีความยืดหยุ่น ลดอุปสรรคของผู้ปฏิบัติ เข้าใจง่าย ความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเทียบเคียงได้กับตลาดหุ้นต่างประเทศ
"คณะทำงานศึกษาแนวทางปรับปรุงกฏเกณฑ์บริษัทจดทะเบียน ได้นำเสนอผลการศึกษาหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเทียบเคียงกับตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งพบว่า หลักเกณฑ์ส่วนใหญ่สามารถเทียบเคียงได้กับตลาดหุ้นต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้หลักเกณฑ์ดังกล่าวเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น และแข่งขันได้กับตลาดหุ้นต่างประเทศ"นายสุทธิชัยกล่าว
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ด้านการรับหลักทรัพย์ใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ ด้านฐานะการเงินและการดำเนินงาน ปรับปรุงหลักเกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือมาร์เก็ตแคปของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จากเดิม 1,500 ล้านบาท เป็น 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังปรับปรุงหลักเกณฑ์การพิจารณากำไรสุทธิ ให้พิจารณากำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ
ด้านการกระจายการถือหุ้นของผุ้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ได้ปรับลดสัดส่วนของผู้ถือหุ้นรายย่อยสำหรับบริษัทที่มีทุนชำระแล้วเกินกว่า 3,000 ล้านบาทขึ้นไป จากเดิม 25% ของทุนชำระแล้วเป็น 20% และในส่วนความหมายของผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่งหมายถึงผู้ถือหุ้นที่ไม่มีส่วนร่วมในการบริหาร (Strategic Shareholders) ให้ปรับปรุงโดยให้ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร หมายถึงเฉพาะผู้ถือหุ้นที่เป็นผู้บริหาร หรือผู้ถือห้นที่ถือหุ้นเกินกว่า 5%
ด้านการห้ามขายหลักทรัพย์ภายในกำหนดเวลา (Silent Period) ปรับปรุงให้ผู้ที่ถูกห้ามขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลา Silent Period ซึ่งหมายถึง ผู้ถือหุ้นที่มีส่วนร่วมในการบริหาร โดยให้ใช้ความหมายเดียวกันกับหลักเกณฑ์เดียวกับการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยข้างต้น และปรับลดสัดส่วนการห้ามขายหลักทรัพย์ของผู้ถือหุ้นดังกล่าวลงจาก 65% ของทุนชำระแล้วเป็น 55% รวมทั้งปรับช่วงเวลาการห้ามขายหลักทรัพย์จากเดิม 1 ปี 6 เดือน เป็น 1 ปี
และการใช้ดุลยพินิจของตลาดหลักทรัพย์ในการผ่อนผันเกณฑ์ ให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถใช้ดุลยพินิจในการผ่อนผันเกณฑ์บางกรณีหากเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อตลาดทุนของประเทศไทย โดยหลักเกณฑ์ที่อาจผ่อนผันได้ เช่น ขนาดของบริษัท, ทุนจดทะเบียน, ฐานะการดำเนินงาน และการกระจายการถือหุ้นรายย่อย เป็นต้น ซึ่งจะผ่านกระบวนการพิจารณาที่โปร่งใส โดยจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการที่มีความเป็นอิสระจำนวน 5 คน ประกอบด้วย ตัวแทนจากสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย, สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย, สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์, สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นผู้พิจารณา และนำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งให้เปิดเผยข้อมูลการผ่อนผันต่อสาธารณชนด้วย
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเสนอขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ต่อไป โดยให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาและนำเสนอคณะกรรมการตลท. พิจารณาการผ่อนผันหลักเกณฑ์ในแต่ละกรณี และเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างโปร่งใส

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ