นายสุรงค์ บูลกุล ประธานคณะกรรมการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการเมื่อวานนี้(21 ก.พ.) ยังไม่ได้ข้อยุติแนวทางเจรากับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) เพื่อขยายเวลาสัมปทานทางด่วนแลกกับการจ่ายค่าชดเชยจากคดีข้อพิพาท เนื่องจากมีความเห็นที่แตกต่างกัน
นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมที่ฝ่ายที่ดูแลจัดการปัญหาดังกล่าวเสนอขอเงินจากกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ (TFF) มาชำระหนี้คดี จำนวน 4.3 พันล้านบาท โดยคณะกรรมการต้องการข้อมูลประกอกการตัตสินใจอย่างรอบด้านก่อนว่าสามารถทำได้หรือไม่ จึงให้ตั้งคณะทำงานที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยพิจารณา โดยจะมีผู้แทนจากกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานกฤษฎีกา เข้าร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม มติเดิมของที่ประชุมคณะกรรมการ กทพ.เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.61 ที่เกี่ยวกข้องกับการแก้ไขปัญหาเงินชดเชยคดีพิพาทก็ถือว่ายังคงเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เพียงรอการรับรองมติเท่านั้น โดยมติดังกล่าวระบุว่าคณะกรรมการอนุมัติขยายอายุสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 ออกไป 37 ปี จากที่สิ้นสุดวันที่ 27 ก.พ.63 เพื่อยุติข้อพิพาททั้งหมดทั้งที่มีคำตัดสินแล้วและอยุ่ระหว่างการพิจารณาของศาล รวมมูลค่าราว 1.3 แสนล้านบาท พร้อมปรับค่าผ่านทางใหม่ให้ขึ้นทุก 10 ปี ในอัตรา 10 บาท โดย กทพ.ได้รับส่วนแบ่งรายได้ 60% ตลอดอายุสัญญาสัมปทาน
"บอร์ดยังไม่แน่ใจว่าทำได้ (นำเงินจาก TFF มาใช้) ต้องตรวจสอบข้อมูล เพราะมีเหตการณ์หลังบอร์ดมีมติออกมา เราพยายามหาทางออกให้การทางฯ"นายสุรงค์ กล่าว
ขณะที่นายชาญชัย โพธิ์ทองคำ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สร.กทพ.) ได้เข้ายื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมการ กทพ.และนายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ ผู้ว่า กทพ.โดยเรียกร้องให้พิจารณา 2 เรื่อง คือ 1.ขอนำเงินจากกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ (TFF) มาชำระหนี้คดี 4.3 พันล้านบาท โดยขอให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) 2. ให้ยกเลิกหรือทบทวน มติบอร์ด กทพ.เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.61 ที่ให้ขยายสัมปทานทางด่วนออกไป 37ปี โดยมีเงื่อนไข แบ่งรายได้ให้กทพ.60% ตลอดอายุสัญญา และปรับค่าผ่านทาง 10 บาทได้ 2 ครั้ง โดย BEM จะลงทุนอีกกว่า 30,000 ล้านบาทเพื่อก่อสร้างทางด่วน 2 ชั้นจากประชาชื่น-อโศก