นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ (L&E) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 62 จะเติบโต 15-20% โดยจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 9% จากปีก่อนอยู่ที่ 5.5% จากการขยายตลาดไปยังประเทศเมียนมา และเวียดนาม
ล่าสุดเมื่อเดือน ธ.ค.61 บริษัทฯ ได้เปิดบริษัทย่อย คือ Lighting & Equipment (Vietnam) Co., Ltd. โดยในปีนี้มีแผนผลิตโคมไฟกล่องเหล็กสำหรับใช้ในบ้านอยู่อาศัย โรงงาน และอาคารพาณิชย์ ซึ่งตั้งเป้าการผลิตอยู่ที่ 500,000 โคมต่อปี แบ่งเป็นการจำหน่ายในประเทศเวียดนาม 50% และที่เหลือสำหรับจำหน่ายในประเทศไทย ส่วนโคมไฟนวัตกรรมใหม่อื่นๆ ที่มีความซับซ้อนกว่าก็ยังนำเข้าจากประเทศไทย เพื่อจำหน่ายในประเทศเวียดนามต่อไป
นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาตั้งโรงงานผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแสงสว่างในประเทศมาเลเซีย จากปัจจุบันมีสำนักงานตัวแทนจำหน่ายอยู่แล้ว ทั้งนี้ เพื่อขยายโอกาสการรองรับออเดอร์ของกลุ่มธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในประเทศมาเลเซีย เช่น กลุ่มเซ็นทรัล และโฮมโปร เป็นต้น อีกทั้งยังมองโอกาสในการเข้าไปรับงานของผู้ใช้ที่เป็นคนพื้นเมืองด้วย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ โดยเบื้องต้นวางงบลงทุนไว้ไม่เกิน 20 ล้านบาท
ประกอบกับจะมุ่งเน้นการขยายตลาดไปยังประเทศอินโดนีเซียเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันก็มีสำนักงานตัวแทนจำหน่ายแล้วเข่นกัน โดยมองตลาดในประเทศดังกล่าวยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
ปัจจุบัน บริษัทมีมูบค่างานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้ในปีนี้ได้ทั้งหมด ซึ่งจะเป็นงานตกแต่งศูนย์การค้า และนสนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่า 100 ล้านบาท คาดว่าส่วนใหญ่จะส่งมอบสินค้าได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ และที่เหลือจะทยอยการส่งมอบไปจนถึงต้นปีหน้า
"บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ 15-20% โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการรุกตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดขายของงานโครงการในประเทศก็เชื่อมั่นว่าจะปรับเพิ่มขึ้น จากอานิสงส์การเร่งลงทุนของภาครัฐและเอกชน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าตลาดค้าปลีก (consumer) น่าจะทรงตัว หรือมีการเติบโตที่ค่อนข้างน้อย"
นายปกรณ์ กล่าวว่า บริษัทยังมองโอกาสการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยการปรับสายการผลิตไปสู่การรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) เพิ่มขึ้น รองรับออเดอร์จากย้ายฐานการผลิตมาสู่ภูมิภาคเอเชีย ของผู้ประกอบการจีน ยุโรป และสหรัฐฯ หลังจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าฯ โดยสิ้นปี 61 บริษัทมีอัตรากำลังการผลิตอยู่ที่ 60% ซึ่งยังมีส่วนต่างกำลังการผลิตที่เหลือเพียงพอสำหรับการรับจ้างผลิตได้อีกมาก
"เชื่อว่าออเดอร์จะไหลเข้ามาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบริษัทฯ จะเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของผู้จ้างผลิต เนื่องจากเครื่องจักรในการผลิตมีศักยภาพสูง สายการผลิตก็มีคุณภาพที่ได้รับการยอมรับในมาตรฐานโลก สะท้อนได้จากการได้รับงานรับจ้างผลิตสินค้าเกรดพิเศษจากลูกค้าประเทศญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่อง หากบริษัทฯสามารถดึงออเดอร์เข้ามาได้ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด" นายปกรณ์กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/62 คาดว่าจะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากจะทยอยรับรู้งานที่เลื่อนการรับรู้รายได้จากช่วงปลายปี 61 เข้ามาในไตรมาส 1/62 ถึงไตรมาส 2/62 ได้แก่ งานคิงพาวเวอร์ ที่รอรับรู้รายได้ประมาณ 50-60 ล้านบาท และรอส่งมอบงานของประเทศเมียนมาร์และเวียดนาม ที่เลื่อนการส่งมอบมาในไตรมาส 1/62 มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท