นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้จากการขายปีนี้จะใกล้เคียงกับระดับ 5.15 แสนล้านบาทในปีก่อน แม้จะมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นหลังจากการเข้าซื้อธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์เกรดบริสุทธิ์เทเรพาธิค (PTA) และธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนเรฟทาเลต (PET) ของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือเอสซีจี เข้ามาเมื่อปีที่แล้ว แต่ทิศทางของราคาปิโตรเคมีมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากความต้องการที่อาจถูกกระทบจากเศรษฐกิจโลกและอุปทานใหม่ที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่บริษัทยังมุ่งให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศเป็นหลัก โดยวางแผนจะลงทุนราว 1.5 แสนล้านบาทในพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในช่วง 3-4 ปี รวมถึงปีนี้ที่จะใช้เงินลงทุนราว 4 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโครงการต่อเนื่อง 2 โครงการใหญ่ ได้แก่ โครงการขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์ และโครงการ Propylene Oxide (PO)/Polyols รวมประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพ รวมถึงการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่บริษัทยังมองหาโอกาสลงทุนต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเตรียมนำเสนอรายละเอียดของโครงการลงทุนโรงงานรีไซเคิลพลาสติก (Recycling Plant) ครบวงจร มูลค่าราว 2 พันล้านบาทต่อที่ประชุมคณะกรรมการเร็ว ๆ นี้ โดยมีกำลังการผลิตประมาณ 4 หมื่นตัน/ปี แบ่งเป็น rPET 3 หมื่นตัน/ปี และ rHDPE 1.5 หมื่นตัน/ปี ซึ่งจะเป็นการร่วมลงทุนกับพันธมิตรจากยุโรปที่จะเข้ามาถือหุ้น 30-50% คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 18 เดือน และแล้วเสร็จในปลายปี 63
ส่วนความคืบหน้าโครงปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐฯ คาดว่าการตัดสินใจลงทุนจะมีความชัดเจนในอีก 4-5 เดือนข้างหน้า หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นทำให้ค่าก่อสร้างมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ต้องกลับมาพิจารณาถึงความเป็นไปได้และแนวทางการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ยังมองว่าการลงทุนโครงการดังกล่าวยังมีความน่าสนใจ เพราะราคาวัตถุดิบในหสรัฐฯยังไม่แพง และพันธมิตรอย่าง Daelim Industrial Co.,Ltd. (DAELIM) จากเกาหลีก็ยังพร้อมที่จะดำเนินการร่วมกันอยู่
"โครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งแต่ก็มีความคืบหน้า พาร์ทเนอร์อย่างเกาหลีก็ยังอยู่ ราคาวัตถุดิบในสหรัฐฯไม่แพง ก็ทำให้ยังมีความน่าสนใจ แต่ยังมีปัญหาเรื่องค่าก่อสร้างที่มีแนวโน้มสูง ก็น่าจะมีแนวทางแก้ปัญหาได้ คาดว่าโครงการนี้น่าจะเห็นความชัดเจนได้ใน 4-5 เดือนข้างหน้า"นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อผลิตน้ำมันให้ได้มาตรฐาน EURO 5 นั้น ปัจจุบันโรงกลั่นของบริษัทนับเป็นโรงกลั่นน้ำมันเดียวที่มีศักยภาพพร้อมที่จะผลิตน้ำมันมาตรฐาน EURO 5 โดยไม่ต้องลงทุนใหม่เพิ่มเติม แต่ปัจจุบันยังไม่มีการผลิตเพราะจะมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงยังต้องรอความชัดเจนจากนโยบาย ภาครัฐ โดยยังคงมีเพียงการผลิตน้ำมันดีเซล ตามมาตรฐาน EURO 4 เท่านั้น เนื่องจากโรงกลั่นของบริษัทผลิตน้ำมันดีเซลราว 450 ล้านลิตร/เดือน คิดเป็นกว่า 20% ของความต้องการใช้น้ำมันดีเซลราว 1,800 ล้านลิตร/เดือน ขณะที่ผู้ผลิตรายอื่นยังไม่มีการผลิตเข้าสู่ตลาดเช่นกัน
ด้านนางสาวดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินละบัญชี ของ PTTGC เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้จากการขายในปีนี้แม้จะทำได้เพียงระดับทรงตัว แต่ภาพรวมผลการดำเนินงานยังมีส่วนอื่นเข้ามาชดเชย อย่างการเข้าซื้อกิจการ PET และ PTA จากกลุ่มเอสซีจี เมื่อปีที่แล้วก็จะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 10% ในปีนี้ แต่เมื่อชดเชยกับแผนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ในช่วงไตรมาส 4/62 ประมาณ 50 วัน และโรงงานอะโรเมติกส์ 1 แห่ง ช่วงไตรมาส 2/62 ประมาณ 1 เดือน ก็จะทำให้ปริมาณการผลิตของกลุ่มบริษัทลดลงไปราว 8% ทำให้ภาพรวมปริมาณการผลิตในปีนี้จะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
ขณะเดียวกันปีนี้ก็จะรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการ MAX ซึ่งเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กร เข้ามาในส่วนของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี ,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อีกราว 4-5 พันล้านบาท
สำหรับมาร์จิ้นของผลิตภัณฑ์หลักอย่างค่าการกลั่น (GRM) คาดว่าจะอ่อนตัวลงเหลือราว 4-5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีที่แล้ว ส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ คาดว่าจะไม่ต่ำกว่าระดับ 197 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีก่อน โดยปัจจุบันสเปรดอะโรเมติกส์ อยู่ในระดับ 220-230 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากอุปทานใหม่จากจีน 2 โรง กำลังผลิตรวม 4 ล้านตัน/ปี คาดว่าจะเข้าระบบในปลายปี 62 จากเดิมจะเข้าระบบในกลางปี 62
ส่วนทิศทางราคาเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง (HDPE) อ่อนตัวลง มาอยู่ที่ราว 1,200 เหรียญสหรัฐ/ตัน จาก 1,300 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีที่แล้ว จากราคาน้ำมันลดลงและอุปสงค์อาจจะถูกกระทบจากเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม นายสุพัฒนพงษ์ คาดว่า การดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 63 จะมีทิศทางที่ดี จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น หลังโรงกลั่นน้ำมัน โรงงานอะโรเมติกส์ จะเดินเครื่องผลิตเต็มที่ อีกทั้งการขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์ และโครงการ PO/Polyols จะแล้วเสร็จในปี 63 ก็จะผลักดันให้กำลังการผลิตรวมของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นอีก 10%