นายสันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โซนิค อินเตอร์เฟรท (SONIC) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาลงทุนพัฒนาพื้นที่อำนวยความสะดวกทางธุรกิจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีทั้งหมด 3 แนวทาง คือ พื้นที่สำหรับจอดรถ มูลค่าการลงทุนราว 50 ล้านบาท คลังสินค้า มูลค่า 100 ล้านบาท และโลจิสติกส์ปาร์ค มูลค่า 150 ล้านบาท โดยจะสรุปแนวทางการลงทุนเพียง 1 แนวทางในไตรมาส 2/62 และอาจจะมีการพิจารณาหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการด้วย
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจา 4-6 ดีล แบ่งเป็นพิจารณาดีลจากต่างประเทศ 2-3 ดีล และในประเทศ 2-3 ดีล โดยบริษัทมองทั้งการเข้าซื้อกิจการ การร่วมลงทุน และหาคู่ค้าธุรกิจเกี่ยวเนื่องเข้ามาเพิ่มเติม เพื่อจะเพิ่มปริมาณการนำเข้าและส่งออกสินค้า โดยมองว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะมีส่วนสนับสนุนให้ SONIC สามารถขยายฐานลูกค้ารายใหม่ในภูมิภาคเอเชียได้ง่าย และเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดสิงค์โปร์และฮ่องกงที่ปัจจุบันถือเป็นศูนย์กระจายสินค้าชั้นนำของภูมิภาค
สำหรับทิศทางรายได้ปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 20% หรือราว 1,300 ล้านบาท โดยจะมาจากการขยายธุรกิจการขนส่งทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ซึ่งในปีนี้สัดส่วนรายได้จากการส่งออกยังเป็นหลักที่ 90% และการนำเข้า 10% โดยในปีนี้บริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติที่ราว 5% จากปีก่อนอยู่ที่ 4.2% เนื่องจากปีก่อนมีค่าใช้จ่ายในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และในปีนี้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่มากเท่าในปีก่อน
นายสันติสุข กล่าวว่า ทิศทางและแผนกลยุทธ์การลงทุนในปี 62 บริษัทตั้งเป้าอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% เช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามแผนการขยายการลงทุนที่บริษัทวางไว้ ไม่ว่าจะเป็น 1.การลงทุนเพิ่มรถบรรทุกหัวลาก หางลากและรถบรรทุก เพื่อขยายการให้บริการธุรกิจขนส่งทางบกและการขนส่งข้ามชายแดน (Cross-border transport)
2. การลงทุนปรับปรุงอาคารและพื้นที่ศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า ให้มีความทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการสินค้าและความรวดเร็วในการขนส่งและการให้บริการ บนพื้นที่ขนาด 2,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับพันธมิตรทางธุรกิจ สำหรับรองรับบริการขนส่งสินค้าผ่านชายแดน โดยเฉพาะการขยายตลาดไปในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม)
และ 3.ลงทุนซื้อที่ดินและอาคารพาณิชย์เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้บริหารในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง และ ลงทุนพัฒนาระบบสารสนเทศ เพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดเก็บวิเคราะห์ข้อมูลการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งแผนการลงทุนดังกล่าว นอกจากเป็นการรองรับการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าเดิม และต่อยอดลูกค้ารายใหม่ที่จะเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการรองรับการขนส่งด้านโลจิสติกส์ที่จะขยายไปตามEEC ในอนาคตอีกด้วย
"หลังจากที่บริษัทฯผนึกกำลังทางธุรกิจกับกลุ่มบริษัท ซีกัลล์ ซัพพลาย เชน (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการธุรกิจขนส่งสินค้าผ่านชายแดนไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ ทางรถบรรทุก เข้ามาร่วมเป็น Strategic Partner และได้มีการเช่าอาคารสถานที่ศูนย์จัดเก็บสินค้า เพื่อรองรับการกระจายสินค้า และการขนส่งข้ามแดนไทย-มาเลเซีย โดยบริษัทฯจะรับรู้รายได้จากการเช่าพื้นที่ของ บริษัท ซีกัลล์ ซัพพลาย เชน ในไตรมาส 1/62"นายสันติสุข กล่าว
สำหรับผลประกอบการงวดปี 61 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.61 นายสันติสุข กล่าวว่า บริษัทมีรายได้จากการให้บริการ 1,152.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 964.30 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 48.40 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 47.30 ล้านบาท
สาเหตุที่บริษัทฯมีผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯมีการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น รวมถึงปริมาณงานทั้งในประเทศ และ ระหว่างประเทศ มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น จากความต้องการใช้บริการขนส่งทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ ส่งผลให้อัตราการเติบโต จากยอดขายและบริการ จาก 3 ธุรกิจหลัก 1) ธุรกิจบริการขนส่งทางเรือ (Sea Freight) ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้น 24.35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
2) ธุรกิจบริการขนส่งทางบก จากการขยายจำนวนรถที่ให้บริการ และเส้นทางขนส่งแบบข้ามพรมแดน (Cross-border Transport) ที่เติบโตเพิ่มขึ้น 8.60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 3) การเติบโตของธุรกิจการจัดการขนส่งทางอากาศ (Air Freight) ที่เติบโตเพิ่มขึ้น 24.02% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจากอัตราการเติบโตดังกล่าวส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 19.96%