นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริการ บมจ.เนอวานา ไดอิ (NVD) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 62 เติบโต 40% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2.95 พันล้านบาท
ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตในปีนี้มาจากการทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียม Banyan Tree Residences Chaophraya Riverside Condominium Bangkok มูลค่า 6.5 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนไปแล้วในไตรมาส 4/61 ไปแล้ว 1 พันล้านบาท และจะทยอยโอนในปี 62 อีก 2.5 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม โครงการคอนโดมิเนียมดังกล่าวยังเหลือขายอีก 50 ยูนิต มูลค่า 2.5 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทจะทยอยขายไปเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันยังมีรายได้จากโครงการแนวราบ รายได้จากงานรับสร้างบ้านและบริหารการขายที่อยู่อาศัยจากที่ดินของเจ้าของที่ดินหรือพันธมิตร และรายได้อื่นๆ
ด้านยอดขายตั้งเป้าอยู่ที่ 5.4 พันล้านบาท หรือเติบโตกว่า 100% จากปีก่อนที่ทำยอดขายได้ 2.6 พันล้านบาท โดยวางแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้จำนวน 11 โครงการ มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ โดยจะมีแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ The Most by Nirvana ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่จะเปิดในปีนี้ 2 โครงการในย่านอิสรภาพและประชาชื่น ราคาขาย 2-6 ล้านบาท/ยูนิต
ส่วนโครงการแนวราบจะมี 2 แบรนด์ใหม่ คือ Nirvana ELEMENT ราคาขาย 8-15 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดย่านบางนาและกรุงเทพกรีฑา พร้อมกับ Nirvana COLLECTION เป็นโครงการบ้านหรูระดับราคา 40-90 ล้านบาท อยู่ระหว่างการเตรียมพัฒนา ทั้ง 2 แบรนด์ใหม่ของโครงการแนวราบจะมาเติมเต็มช่องวางทางการตลาดของแบรนด์ Nirvana DEFINE ระดับราคา 8-16 ล้านบาท และ Nirvana BEYOND ระดับราคา 20 ล้านบาท
ขณะที่สัดส่วนรายได้ของปี 62 จะเปลี่ยนแปลงไปจากปีก่อน โดยที่สัดส่วนรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมจะเพิ่มเป็น 58% จากปีก่อน 23% และแนวราบจะลดลงมาที่ 31% จากปีก่อน 61% สัดส่วนรายได้จากงานรับสร้างบ้านจะอยู่ที่ 9% ลดลงจาก 12% ในปีก่อน และรายได้อื่นๆลดลงเหลือ 2% จากปีก่อน 4%
นอกจากนี้ ในช่วงเดือนเม.ย.62 บริษัทเปิดให้บริการอาคารจอดรถ Park&Ride รองรับจำนวนรถได้ 720 คัน แบ่งเป็น 2 อาคาร อาคารละ 360 คัน มูลค่าลงทุน 40-50 ล้านบาท ตั้งเป้าอัตราการใช้ที่จอดรถเฉลี่ย 80% ต่อปี ซึ่งจะเข้ามาช่วยเสริมรายไดิประจำ และเป็นโครงการที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า 15% มากกว่าห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง
นายศรศักดิ์ กล่าวว่า การพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้จะยังคงเดินหน้างานรับสร้างบ้านและบริหารการขาย (Turnkey Solutions) ให้กับเจ้าของที่ดินหรือพันธมิตรที่สนใจ ซึ่งจะต้องเป็นที่ดินที่มีศักยภาพที่มีความต้องการของตลาดรองรับ ซึ่งในปีนี้จะมีการพัฒนาโครงการในอุดรธานี ที่หนองประจักษ์ ซึ่งได้ขายไปแล้ว 9 ยูนิต ราคาขาย 25 ล้านบาท และจะมีโครงการ Turnkey ในทำเลพัฒนาการ กรุงเทพกรีฑา และบางนา
บริษัทยังอยู่ระหว่างมองหาจังหวัดอื่นๆที่เป็นหัวเมืองใหญ่เพื่อเข้าไปรับงาน Turnkey กับพันธมิตร อย่างเช่น ข่อนแก่น เชียงใหม่ โคราช ศรีราชา และภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งการร่วมกับพันธมิตรทำให้บริษัทไม่ต้องซื้อที่ดินมารองรับการพัฒนาโครงการในอนาคตมากนัก ทำให้ค่าใช้จ่ายของการลงทุนลดลง
สำหรับการพัฒนาโครงการของบริษัทในปี 62 จะเดินหน้าภายใต้แนวคิดใหม่ Living Revolution เพื่อพลิกโฉมการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และสร้างสวรรค์รูปแบบการอยู่อาศัยแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นเรื่องดีไซน์ของบ้านแบบใหม่ที่แตกต่างจากบ้านทั่วๆไป ที่มีการนำนวัตกรรมเข้ามาผสมผสานเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืน และมีแนวความคิดในการออกแบบบ้านที่คำนึงถึงการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ (Natural Modern)
โดยออกแบบบ้านให้มีรูปทรง L Shape และ C Shape ที่สร้างให้เกิด Inner Court กลางบ้าน ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้มีพื้นที่สวนภายในบ้าน และสร้างความเป็นส่วนตัวของพื้นที่ในบ้านและนอกบ้าน นอกจากนี้ การออกแบบบ้านยังคำนึงถึงทิศทางของแดดและลม โดยการออกแบบช่องเปิดรับแสงและลมที่เหมาะสม พร้อมนำรูปแบบการอยู่อาศัยแนวใหม่นี้ไปพัฒนา โครงการเนอวานา เมืองใหม่ (Nirvana Township) บนถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ เพื่อพัฒนาชุมชนที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ที่มีองค์ประกอบสำคัญอื่น ๆ มาสนับสนุนให้เป็นคอมมิวนีตี้รูปแบบใหม่ที่มีพร้อมทุกอย่าง เพื่อตอบสนองการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่
นายศรศักดิ์ กล่าวว่า แนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมารัพย์ในปี 62 ไม่สดใสมากนัก เพราะมีปัจจัยลบมากระทบบตลาดโดยรวม เช่น อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น กฏระเบียบในการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการอสังหาริมาทรัพย์ที่เข้มงวดขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจของไทยยังไม่ได้มีการขยายตัวสูงมากนัก แต่อย่างไรก็ตามมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับบนจะเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ราคาแพง ยังคงมีความต้องการจากผู้บริโภคอยู่และยังสามารถเติบโตได้ในอัตราที่ดี
ส่วนงบซื้อที่ดินของบริษัทในปีนี้ตั้งไว้ที่ 500 ล้านบาทเพื่อนำมาใช้ซื้อที่ดินพัฒนาโครงการ Nirvana DEFINE 3 ในช่วงปลายปีนี้ หากโครงการ Nirvana DEFINE 2 สามารถปิดการขายได้ภายในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนหากบริษัทมีความจำเป็นต้องใช้เงินมากขึ้นกว่าที่ตั้งไว้ก็ยังมีความสามารถออกหุ้นกู้ได้อีก 800 ล้านบาท จากวงเงินที่ขออนุมัติผู้ถือหุ้นออกหุ้นกู้ไว้ 2 พันล้านบาท ซึ่งในปี 61 ได้ออกหุ้นกู้ไปแล้ว 1.2 พันล้านบาท