นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ช.ทวี (CHO) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 62 กับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทเตรียมเข้าประมูลงานรถโดยสารทุกประเภทขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) อย่างต่อเนื่อง พร้อมเจจาเข้าซื้อธุรกิจรถร่วมบริการ ขสมก.และดึงพันธมิตรร่วมทุนทำ Smart Bus เพื่อต่อยอดธุรกิจ ขณะที่เดินหน้าผลักดันธุรกิจใหม่ทั้งศูนย์ซ่อมบำรุงรถสิบล่อ และ LONDON TAXI
นอกจากนั้น ยังมองโอกาสการรวบรวมข้อมูลด้านขนส่งมวลชนทั้งประเทศเพื่อทำธุรกิจด้าน DATA ในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะมีความขัดเจนในปี 63
"บริษัทยังวางเป้าหมาย 3-5 ปีข้างหน้า เปลี่ยนจากธุรกิจการผลิต (Manufacturing) เป็นโอเปอร์เรเตอร์ขนส่งมวลชนและก้าวไปสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งในอนาคต ที่ผ่านมาบริษัทถือว่าประสบความสำเร็จในการนำเอารถ BUS มารวมกับเทคโนโลยีได้แล้ว จากนี้ไปจะเป็นการเก็บข้อมูลผ่านรถขนส่งมวลชนในประเทศไทย โดยมีแผนที่จะก่อตั้งบริษัท DATA ใหม่ขี้นมา"นายสุรเดช กล่าว
นายสุรเดช กล่าวว่า ในปีนี้การเติบโตหลัก ๆ ของบริษัทยังมาจากธุรกิจเดิม ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์มาตรฐาน เช่น รถพ่วง รถกึ่งพ่วง รถเทรนเลอร์, กลุ่มผลิตภัณฑ์ออกแบบพิเศษ เช่น รถที่ส่งออกหรือใช้เทคโนโลยีสูง และกลุ่มบริหารโครงการและงานบริการ หรือ งานซ่อมบำรุงรถต่างๆ โดยคาดว่าจะรายได้จะเติบโตในช่วง 5-10%
ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 3,700 ล้านบาท แบ่งเป็นงานกลุ่มธุรกิจเดิม จำนวน 1,000 ล้านบาท และงานรถเมล์ NGV จำนวน 2,700 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถส่งมอบรถเมล์ NGV ได้ครบ 489 คันภายในเดือน มี.ค.นี้
ขณะที่แผนงานในปีนี้บริษัทจะเข้าประมูลงานเช่ารถโดยสารใหม่ของ ขสมก.จำนวน 700 คัน แบ่งเป็น รถ NGV จำนวน 300 คัน และรถไฮบริด 400 คัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ในช่วงกลางปีนี้ โดยบริษัทจะเข้าประมูลร่วมกับบมจ.สแกน อินเตอร์ (SCN) บริษัทถือว่ามีความพร้อมทางด้านแหล่งเงินลงทุน เนื่องจากมีสถาบันการเงินในต่างประเทศพร้อมให้การสนับสนุนการลงทุนดังกล่าวแล้ว
นอกจากนี้ บริษัทย่อย หรือ บริษัท อมรรัตนโกสินทร์ จำกัด (ARK) ที่ CHO ถือหุ้น 99.97% มีแผนจะดำเนินธุรกิจบริหารจัดการรถโดยสารประจำทางอัจฉริยะ (SMART BUS) โดยการขอรับสัมปทานเส้นทางเดินรถโดยสารประจำทางจากกรมการขนส่งทางบก หรือการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการเดินรถเดิม และการจัดการข้อมูลที่ได้จากระบบโดยการวิเคราะห์ด้วยระบบที่ทันสมัย
ปัจจุบัน ARK อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการเดินรถเดิมในการเข้าซื้อกิจการรถร่วมในกรุงเทพฯ จำนวน 40 ราย หรือคิดเป็นรถเมล์จำนวนกว่า 1,700 คัน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในเร็วๆนี้ เบื้องต้นประเมินว่าจะต้องใช้เงินลงทุนราว 2,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินลงทุนขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรที่สนใจในการเข้ามาถือหุ้นร่วมลงทุนกับ ARK จำนวน 2 ราย คาดจะเห็นความชัดเจนได้ในภายในครึ่งปีแรกนี้
"เราอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการเดินรถ หรือรถเมล์ในกรุงเทพฯ เพื่อรวบรวมรถร่วมให้เป็นหนึ่งบริษัท โดยการเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในแต่ละบริษัท หรือการเทคโอเวอร์ทั้งหมด ซึ่งเท่ากับว่ารถเมล์ในกรุงเทพฯ ทั้งหมดกว่า 100 สาย จะถูกเปลี่ยนเป็นรถใหม่ โดยจะเปลี่ยนปีละ 400 คัน และในช่วง 4-5 ปีนี้จะมีรถเมล์ใหม่เปลี่ยนไปกว่าครึ่งหนึ่งของรถเมล์ในกรุงเทพฯ เราคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในเร็วๆนี้" นายสุรเดช กล่าว
ส่วนธุรกิจโครงการใหม่ ได้แก่ โครงการสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงรถสิบล้อ 24 ชั่วโมง ปีนี้มีแผนขยายเพิ่มอีก 2 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่จำนวน 1 แห่งที่ จ.ชลบุรี และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 7-8 แห่งทั่วประเทศภายใน 3 ปีจากนี้ (ปี 62-64)
ขณะเดียวกัน ช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าลงทุนใน บริษัท ออลเอส โฮลดิ้ง จำกัด โดย CHO ถือหุ้น 6.25% เพื่อให้บริการโครงการ LONDON TAXI ซึ่งออลเอสได้รับลิขสิทธิ์การผลิต LONDON TAXI ในประเทศไทย และอยู่ระหว่างการย้ายฐานการผลิต โดย LONDON TAXI จะไม่ใช่แค่แท็กซี่ธรรมดาแต่จะเป็นแท็กซี่วีไอพี คาดว่าปีนี้จะเริ่มดำเนินการผลิตได้ 200 คัน และเพิ่มอีกปีละ 2,000 คัน จากความต้องการ 10,000 คัน หรือคิดเป็น 10% ของจำนวนรถแท็กซี่ในประเทศไทยที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 1 แสนคัน
ทั้งนี้ ในฐานะผู้ถือหุ้น CHO จะรับรู้รายได้จากการเข้าไปจัดการซ่อมบำรุงและบริหารการผลิต รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น อย่างไรก็ตามในปีนี้อาจจะยังไม่เห็นการรับรู้รายได้จากการซ่อมบำรุงเข้ามา แต่อาจจะเห็นรายได้จากการบริหารการผลิตเข้ามาบางส่วน ซึ่งในอนาคตมองว่าธุรกิจดังกล่าวจะเป็นการสร้างรายได้ประจำให้แก่บริษัทฯ โดยบริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้จากธุรกิจซ่อมบำรุง คิดเป็น 30% ของรายได้รวม
นายสุรเดช กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทวางงบลงทุนรวมไว้ประมาณ 200 ล้านบาท โดยจะใช้ในส่วนของบริษัท ออลเอส โฮลดิ้ง จำกัด จำนวนไม่เกิน 10 ล้านบาท, ใช้ในบริษัทย่อย อมรรัตนโกสินทร์ จำนวน 100 ล้านบาท และใช้ในการลงทุนขยายศูนย์ซ่อมบำรุงสิบล้อ 24 ชั่วโมง จำนวน 2 แห่ง อีก 40 ล้านบาทต่อแห่ง
"เรามองว่ารายได้ของเราจะค่อยๆเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากธุรกิจโครงการใหม่ๆ ที่จะเติบโตมากกว่าธุรกิจเดิม ซึ่งธุรกิจปัจจุบันจะเป็นจุดแข็งในการเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโครงการใหม่ เช่น หากซัพพลายเออร์ไม่พร้อม เราก็มีโรงงานที่พร้อมทำเองได้ ทำให้เราปิดความเสี่ยงด้านนี้ ซึ่งภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ธุรกิจเดิมก็จะมีสัดส่วนเล็กลง แต่ยังคงเติบโตได้ปีละ 5-10% ส่วนธุรกิจโครงการใหม่จะเริ่มเห็นสัดส่วนรายได้ที่เติบโตมากขึ้น"นายสุรเดช กล่าว
ด้านความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) จ.ขอนแก่น ที่ผ่านมาทางคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ได้อนุญาตให้ตั้งบริษัทเพื่อดำเนินการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้ารางเบาเป็นบริษัทแห่งแรกในประเทศไทย และขณะนี้ก็ได้รับการอนุมัติการก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างรอการปรับปรุงแก้ไขผลการศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) คาดจะแล้วเสร็จได้อีก 3 เดือนนี้
หลังจากนั้นบริษัทฯ ก็จะเริ่มเข้าไปเจรจากับผู้ลงทุน (investor) ซึ่งปัจจุบันมีผู้สนใจอยู่ทั้งสิ้น 3 ราย คาดว่าน่าจะเห็นการลงทุนได้ภายในปีนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อพัฒนาโครงการตามแผนพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเมืองขอนแก่นแล้วเสร็จ บริษัทฯ ก็มีความพร้อมในการถ่ายทอดความรู้ให้กับจังหวัดอื่นๆ เพื่อนำไปพัฒนาต่อด้วย
https://youtu.be/XIzz7WGUu94