โบรกฯปรับลดประมาณการหุ้นบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) ลง หลังผู้บริหารเลิกรับประกันนโยบายจ่ายปันผลทุกปีไม่ต่ำกว่า 15 บาท/หุ้นแล้ว แต่จะจ่ายตามผลประกอบการในแต่ละปี ขณะที่แนวโน้มความสามารถในการทำกำไรก็ลดลง ถึงแม้ราคาหุ้นได้สะท้อนงบการเงินปี 50 ที่น่าผิดหวังแล้ว แต่สัญญาณทางเทคนิคมีสัญญาณขายเกิดขึ้นด้วย ราคาจึงน่าจะลงต่อ
โบรกฯ คำแนะนำ ราคาพื้นฐาน(บาท)
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ซื้อ เดิม 302 (กำลังทบทวน)
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ขาย กำลังประเมิน
บล.นครหลวงไทย ขาย 248
บล.ไซรัส ซื้อ 270
บล.บัวหลวง ถือ 262
นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้น SCC ปรับลงแรงจากปัจจัยสำคัญ 2 ประเด็น คือ นับจากนี้ไปผู้บริหารระบุว่าจะไม่รับประกันเงินปันผลขั้นต่ำที่ 15 บาทแล้ว จากช่วงที่ผ่านมาเป็นที่รู้กันว่ากำไรปีนี้จะลดลง หากมีการรับประกันจ่ายปันผล 15 บาท/ปี ก็อาจช่วยสร้างความน่าสนใจของตัวหุ้น แต่เมื่อผู้บริหารพูดแบบนี้ ตลาดอาจจะผิดหวังว่าในอนาคตถ้าปันผลจะน้อยลง ถือเป็นข่าวลบ
อีกประเด็นหนึ่งคือ คาดว่าความสามารถการทำกำไรของ SCC ลดลง ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะปรับประมาณการผลประกอบการของ SCC ลง
แต่เนื่องจากราคาหุ้น SCC ปรับลดลงมามากเกินไปแล้ว เรายังแนะนำ"ซื้อ"เพราะเชื่อว่าเงินปันผลที่อาจลดลงมา คงไม่ได้ลดลงฮวบฮาบ อาจจะเหลือ 12 บาท/หุ้นในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นคงยังรับผลกระทบจากข่าวดังกล่าว ราคาพื้นฐานกำลังทบทวนจากที่ให้ไว้ 302 บาท แต่ราคาหุ้นที่ลงมาก็ยังให้"ทยอยสะสม"ได้
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการเศรษฐกิจและกลยุทธ์ สถาบันวิจัย บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)แนะ"ขาย"ที่ราคาปัจจุบัน และคิดว่าระยะยาวสามารถซื้อที่ 180 บาทได้ ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ SCC จากนี้ไปพื้นฐานจะอ่อนลง และการเปลี่ยนนโยบายปันผลจาก 15 บาท/หุ้นเป็นแล้วแต่ผลประกอบการ อาจทำให้ปันผลลดลงมาเหลือ 10 บาท/หุ้น ซึ่งจะคล้ายๆ กลุ่มพลังงานที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 2-3%
ขณะที่สัญญาณทางเทคนิค เพิ่งมีสัญญาณขายวันนี้ (23 ม.ค.) ราคาน่าจะลงต่อ
"หุ้นแบบนี้จะไม่หวือหวาแต่จะไม่ขึ้น จะค่อยๆ ปรับลงเรื่อยๆ ไม่มีเป้าหมายทางขึ้น ตอนนี้ต้องประเมินเป้าหมายทางลง" นายอดิศักดิ์ กล่าว
บล.นครหลวงไทย ปรับน้ำหนักการลงทุนเป็น"ขาย"เพราะการเปลี่ยนนโยบายในการจ่ายเงินปันผลมาเป็นการจ่ายที่สอดคล้องกับผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงในอนาคต แม้จะแสดงให้เห็นถึงวินัยทางการเงินที่เข้มแข็งของบริษัทที่ต้องการบริหารสภาพคล่องให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการนำเงินส่วนดังกล่าวไปขยายการลงทุนและหาแหล่งพลังงานทดแทนอื่น เพื่อช่วยบรรเทาภาวะต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
แต่อีกด้านหนึ่งเป็นการสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนที่ต้องการอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 6-7% ต่อปี เพื่อชดเชยกับแนวโน้มของผลการดำเนินงานที่ปรับลดลง นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงจากการแข็งค่าของเงินบาทและการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ส่งผลกดดันทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานในอนาคตอาจปรับลงกว่าที่คาดได้
บล.ไซรัส ระบุ แนวโน้มปี 2551 คาดผลการดำเนินงานยังไม่ดีนัก กำไรอาจแค่ทรงตัว เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมีคาดว่า Spread มีโอกาสปรับตัวลดลง เพราะมี Supply ใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาด ส่วนธุรกิจปูนฯ และกระดาษก็ยังได้รับแรงกดดันจากต้นทุนที่สูง
แม้ผลการดำเนินงานจะไม่โดดเด่น แต่ราคายังมี Upside และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี แนะนำ “ซื้อ" โดยปรับราคาตามปัจจัยพื้นฐานใหม่เป็น 270 บาท (จากเดิม 300 บาท) คิดเป็น PE 12.7 เท่า และ P/B ที่ 3.5 เท่า มี Upside 21.6% และผลตอบแทนจากเงินปันผลอีก 7% ต่อปี
ด้าน บล.บัวหลวง คาดจะเห็นกำไรที่ดีขึ้น QoQ ในไตรมาส 1/51 โดยมีปัจจัยผลักดันจากราคาขายซีเมนต์, ปิโตรเคมีและกระดาษที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม กำไรไตรมาส 1/51 ไม่น่าจะเติบโตขึ้น YoY เนื่องจากฐานกำไรไตรมาส 1/50 อยู่ในระดับสูง และขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดอัตราการจ่ายเงินปันผลที่แน่นอน (เราคาดว่าจะอยู่ที่ 60% ดังเช่นในปี 2549-2550) เงินปันผลในปี 2551 คาดว่าจะอยู่ที่ 12 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 5.6% ถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับในอดีต
แม้ upside จากราคาเป้าหมายในปี 2551 ที่ 21% ดูน่าสนใจ ยังคงแนะนำ"ถือ"เพราะเชื่อว่าโอกาสในการปรับลดการจ่ายเงินปันผลจะส่งผลในทางลบต่อแนวโน้มหุ้น SCC ในระยะสั้น ให้ราคาเป้าหมาย 262 บาท/หุ้น
อย่างไรก็ตาม หากราคาปรับตัวลดลงมาอยู่ในช่วงค่าเฉลี่ยผลตอบแทนในอดีตที่ 6.0-6.5% ก็จะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสำหรับนักลงทุนระยะยาวจากการคาดการณ์การเติบโตผลกำไรระดับสูงในปี 2553 ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากโรงผลิตโอลิฟินส์แห่งใหม่ของบริษัทในจังหวัดระยอง
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--