นายณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม (ITEL) กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจปี 62 จากงานในมือที่มีเพิ่มขึ้นและแผนธุรกิจที่ชัดเจน บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ 2,000 ล้านบาท เติบโต 30-40% โตต่อเนื่องจากปี 61 จากธุรกิจให้บริการและติดตั้งโครงข่ายสายใยแก้วนำแสง
และมองว่าในปีนี้ยังอยู่ในเทรนด์ของการลงทุนเกี่ยวกับการสื่อสารในยุคดิจิทัล ซึ่งคาดว่าจะมีงานออกมาเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะประกาศ กสทช.เรื่อง 5G ยิ่งช่วยกระตุ้นภาพรวมอุตสาหกรรม โดย ITEL พร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่ทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อสนับสนุนรายได้ให้เติบโตแข็งแกร่งในอนาคตมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายว่าภายใน 3-5 ปีนี้ รายได้ในแต่ละปีจะต้องเติบโตประมาณ 40% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิต้องการจะเติบโตให้ได้ 20% ภายในปี 64 โดยมาจาก 3 ธุรกิจหลักประกอบด้วย"บริการโครงข่ายเชื่อมข้อมูลหรือดาต้า เซอร์วิส"เติบโตต่อปี 20-30% ตั้งเป้ารายได้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-70% ของรายได้รวม
ปัจจุบัน บริษัทมีฐานลูกค้าทั้งจากหน่วยงานรัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า, โรงภาพยนตร์ โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน ผู้ให้บริการมือถือ ฯลฯ ในปีนี้ได้ขยายฐานเพิ่ม เช่น ปั๊มน้ำมันซัสโก้ อิออน เงินติดล้อ เมืองไทยลิสซิ่ง และภาครัฐ อาทิ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การประปาส่วนภูมิภาค ฯลฯ
"บริการติดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคม" สัดส่วน 20-30% ของรายได้ มีแนวโน้มเติบโตไปตาม 4G และ 5G ที่มีเทรนด์การเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง โดยโครงข่ายของบริษัทเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ที่ติดตั้งงานให้ลูกค้า อาทิ ทรู และเอไอเอส
"บริการดาต้า เซ็นเตอร์" ปัจจุบันมีอยู่ 2 แห่ง แห่งแรกให้บริการครบ 95% ส่วนแห่งที่ 2 ล่าสุด ณ สิ้นปี 61 มีผู้ใช้บริการ 50-60% ส่วนแผนปี 62 บริษัทจะให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์ ที่เหลืออีก 30% โดยโฟกัสกลุ่มธนาคารและหน่วยงานภาครัฐ
ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 61 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,611.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.03% จากปี 60 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,081.25 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 133.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.67% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 101.78 ล้านบาท
ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากบริษัทฯ มีพื้นที่ให้บริการเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 75 จังหวัด และ จากการที่ภาครัฐมีนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) และนโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นส่วนสำคัญที่จะส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ของประเทศ และเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ ทำให้สามารถผลักดันยอดขายจากลูกค้าที่เข้ามาใช้งานได้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งบริษัทฯ ยังสามารถรักษาฐานลูกค้าในปีก่อนไว้ได้เนื่องมาจากประสิทธิภาพของโครงข่ายและเสถียรภาพของการให้บริการที่เหนือกว่าคู่แข่งขันรายอื่นในตลาด ทำให้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับรายได้จากการให้บริการโครงข่ายในปี 61 อยู่ที่ 682.70 ล้านบาท เติบโตสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 31.98% จากปี 2560 มีรายได้ 517.28 ล้านบาท โดยรายได้จากการให้บริการติดตั้งโครงข่ายในปี 2561 เติบโตสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 73.31% หรืออยู่ที่ 831.45 ล้านบาท จากปี 60 อยู่ที่ 479.75 ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะยังคงบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยการรับงานติดตั้งโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ และลูกค้ามีความมั่นใจในบริการของบริษัทฯ อยู่แล้ว
ล่าสุด ในช่วงปลายปี 61 ที่ผ่านมา ITEL ได้งานโครงการ USO เฟส 2 เพิ่มเติมเข้ามาอีกมูลค่ารวมกันกว่า 3,560 ล้านบาท เมื่อนำมารวมกับงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่มีในปัจจุบัน 2,500 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีงานในมือสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็น 6,060 ล้านบาท มีผลทำให้ผลประกอบการในปี 61 เติบโตเกินเป้าหมายที่วางไว้ อีกทั้งบริษัทยังมีงานอีกหลายโครงการที่อยู่ระหว่างรอผลการประมูล อย่างไรก็ตาม จากการบริหารจัดการที่ดี และการรุกการให้บริการในทุกธุรกิจ สนับสนุนให้ผลงานปี 61 มีการเติบโตสูงขึ้นมากกว่าแผนงานที่วางไว้
ขณะที่รายได้จากการให้บริการพื้นที่ดาต้า เซ็นเตอร์ทั้งปีเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 17.84% อันเนื่องมาจากฐานลูกค้าที่ใช้งานปี 61 มีมากถึง 95% ทำให้รายได้จากการให้บริการพื้นที่ดาต้า เซ็นเตอร์ในปี 2561 อยู่ที่ 93.76 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 79.56 ล้านบาท และในแต่ละไตรมาสหลังจากนี้จะมีแนวโน้มของรายได้ที่มั่นคง
"กำไรสุทธิในปีนี้เติบโตขึ้นกว่าปีก่อนอย่างมาก โดยกำไรจากการดำเนินงานทั้งปีโต 30.67% อยู่ที่ 133.00 ล้านบาท ซึ่งเทียบกับปี 60 อยู่ที่ 101.78 ล้านบาท เป็นผลจากการเติบโตของรายได้ทุกประเภท นอกจากนี้ อัตรากำไรสุทธิปี 61 คิดเป็น 8.25% เป็นผลมาจากบริษัทฯ มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ และค่าใช้จ่ายในการบริหารได้ดีขึ้น" นายณัฐนัย กล่าว