DRT ชงบอร์ดใน Q1/62 เคาะลงทุนปีนี้ 500 ลบ.ขยายกำลังผลิต-ซ่อมบำรุงเครื่องจักร, คาดปีนี้กำไรสุทธิดีกว่าปีก่อน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 27, 2019 15:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมงบลงทุนในปี 62 จำนวน 500 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่ใช้งบลงทุน 200-300 ล้านบาท โดยจะนำไปขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 5-6 หมื่นตัน จากกำลังการผลิต 1.1 ล้านตันในปัจจุบัน ใช้งบลงทุนราว 300-400 ล้านบาท ส่วนงบที่เหลือใช้ซ่อมบำรุงเครื่องจักร และขยายพื้นที่คลังสินค้าในโรงงานแห่งใหม่อีก 3,500 ตารางเมตร รองรับการขายสินค้าและเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการส่งมอบสินค้าให้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทจะนำเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาอนุมัติงบลงทุนภายในไตรมาส 1/62 หากได้รับอนุมัติแล้วจะใช้เวลาดำเนินการเพิ่มสายการผลิตไม่น้อยกว่า 12 เดือน โดยบริษัทจะเพิ่มสายการผลิตไฟเบอร์ซีเมนต์ที่ใช้ผลิตสินค้าผนังและพื้นไม้สังเคราะห์

สำหรับแหล่งที่มาเงินทุน บริษัทจะใช้กระแสเงินสดที่มีอยุ่ 700-800 ล้านบาท และอีกส่วนหนึ่งจะนำมาจากเงินกู้ โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.5 เท่า

"เราไม่ได้ลงทุนขยายการผลิตมาก 6-7 ปีแล้ว ตอนนี้อัตราการใช้กำลังการผลิตขึ้นไปถึง 80-90% ที่ผ่านมาเศรษฐกิจทรงๆ เราก้ต้องระมัดระวังการลงทุน โดยการลงทุนกับการจ่ายเงินปันผลต้องไม่กระทบกัน ลงทุนแล้วก็ยังจ่ายเงินปันผลได้ นายสาธิต กล่าว"

นายสาธิต กล่าวว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ก.พ.) มีอัตราการใช้กำลังการผลิตสูงที่ 85-90% ซึ่งในข่วงครึ่งแรกของปีจะเป็นช่วงไฮซีซั่น และในช่วงครึ่งหลังของปีเป็นช่วงโลว์ซีซั่น โดยเฉพาะในไตรมาส 3/62 แต่ในช่วงนี้ที่อยู่อาศัยมีการเร่งสร้างเร่งโอน เพราะส่วนหนึ่งต้องการหลีกเลี่ยงมาตรการควบคุมอัตราส่วนการให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะมีผลบังคับในเดือน เม.ย.นี้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DRT คาดว่า กำไรสุทธิปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 422.85 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 25-27% จากปีก่อนอยู่ที่ 26.35% และยอดขายปีนี้คาดเติบโต 5% เป็น 4.6 พันล้านบาท จากปีก่อนมียอดขาย 4.4 พันล้านบาท โดยให้ความสำคัญทุกตลาดทุกช่องทาง สัดส่วนรายได้ประมาณ 50% จะมาจากร้านค้าผู้แทนจำหน่ายรายย่อย(Agent) ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 55% ขณะที่ตลาดส่งออกจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 20% จาก 17% ในปีก่อน ส่วนช่องทางห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) อยู่ที่ 15-16% และลูกค้าโครงการ (Project) 12-14% ทรงตัว

ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ตามประเภทสินค้าจะมาจากหลังคากระเบื้องเป็นหลักในสัดส่วน 50% ผลิตภัณฑ์กลุ่มไม้สังเคราะห์ 35% และอิฐมวลเบา 15%

นายสาธิต กล่าวว่า ตลาดส่งออกที่เน้นทำตลาดมากขึ้นได้แก่ ตลาด CLMV ได่แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม โดยส่วนหนึ่งขยายสาขาตามไปกับร้าน Modern Trade เช่น โกลบอลเฮ้าส์ ที่มีการขยายสาขาในพนมเปญ ขณะที่ในประเทศคาดว่าปีนี้ ร้าน Modern Trade อาทิ ไทวัสดุ โกลบอลเฮ้าส์ เมกาโฮม โฮมช้อบ ทั้งหมดจะขยายสาขาเพิ่มเป็น 139 สาขาจาก 124 สาขาในปีก่อน

"แผนการดำเนินธุรกิจปี 62 บริษัทจะมุ่งเน้นการ Refocus หรือให้ความสำคัญกับการเพิ่มยอดขายในทุกมิติ ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมของสินค้าที่มีจุดเด่นด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และการบริการภายใต้ทีมช่างมืออาชีพ เพื่อรองรับแผนการตลาดในปนี้ ดำเนินภายใต้กลยุทธ์ สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง โดยมุ่งสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคและสร้างแบรนด์สินค้า"ตราเพชร"ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น" นายสาธิต กล่าว

ขณะเดียวกัน ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากราคาซิเมนต์ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักปรับตัวสูงขึ้น 3-5% โดยบริษัทได้ปรับราคาขึ้น 3% เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นอกจากนี้บริษัทลงทุนติดตั้งโรบอทภายในโรงงานผลิตสินค้ากลุ่มหลังคาคอนกรีตเพื่อลดการใช้แรงงานบางส่วน แก้ปัญหาเรื่องคนได้ในบางส่วน โดยบริษัทได้ใช้งบลงทุนไปราว 15 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ