ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงพุ่งขึ้นปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ (24 ม.ค.) หลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง และจากข่าวที่ว่าสภาคองเกรสและรัฐบาลสหรัฐสหรัฐมีมติให้ใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 108.44 จุด หรือ 0.88% แตะระดับ 12,378.61 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 13.47 จุด หรือ 1.01% แตะระดับ 1,352.07 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดดีดขึ้น 44.51 จุด หรือ 1.92% ปิดที่ 2,360.92 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 5.48 พันล้านหุ้น ลดลงจากเมื่อวันพุธที่ 7.3 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 4 ต่อ 3
ตลาดหุ้นนิวยอร์กขานรับข้อมูลจากกระทรวงแรงงานที่ระบุว่า จำนวนชาวสหรัฐที่ขอรับสวัสดิการในระหว่างว่างงานเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ปรับตัวลดลง 1,000 คน แตะระดับ 301,000 คน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ซึ่งทำให้ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในขณะนี้อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายคึกคักขึ้นอีกเมื่อมีข่าวว่าสภาคองเกรสและทำเนียบขาวสามารถตกลงกันได้เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงมาตรการคืนภาษีให้กับครอบครัวชาวอเมริกัน 600-1,200 ดอลลาร์ และครอบครัวที่มีบุตรก็จะได้รับคืนภาษีเพิ่มขึ้นด้วย โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจและตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค
นายบิล ดอว์เยอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทเอ็มทีบี อินเวสท์เมนท์ แอดไวเซอร์ส ในเมืองบัลติมอร์ กล่าวว่า "ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะได้รับแรงหนุนจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และความพยายามของรัฐบาลที่จะยื่นมือช่วยเหลือบริษัทผู้ค้ำประกันพันธบัตร นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.75% จะช่วยให้กลุ่มเจ้าของบ้านที่กำลังประสบปัญหา สามารถถือครองทรัพย์สินของตนเองได้ต่อไป"
"หลายฝ่ายมองว่ามาตรการและความพยายามทั้งหมดนี้อาจช่วยยับยั้งภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐได้" นายดอว์เยอร์กล่าว
ด้านนายสตีเฟ่น คาร์ล นักวิเคราะห์จากเดอะ วิลเลียมส์ แคปิตอล กรุ๊ป กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายเมื่อคืนนี้สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนเริ่มตอบรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินของเฟดและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐมากขึ้น แม้ในวันแรกนักลงทุนจำนวนมากไม่มั่นใจว่าความพยายามดังกล่าวจะช่วยยับยั้งภาวะถดถอยของเศรษฐกิจได้ก็ตาม
ทั้งนี้ หุ้นไมโคซอฟท์พุ่งขึ้นกว่า 4% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรพุ่งขึ้น 79% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ และหุ้นซิเคียวริตี้ แคปิตอล ดิ่งลง 30.6% หลังจากถูกฟิทช์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--