บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศทบทวนอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน(HEMRAJ)โดยปรับเพิ่มเป็นระดับ “A-"จากเดิมที่ “BBB+"พร้อมให้แนวโน้ม“Stable"หรือ“คงที่"
อันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความสำเร็จในการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจการให้บริการและสาธารณูปโภค และฐานะทางการเงินที่แข็งแรงของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable"หรือ“คงที่"สะท้อนความคาดหมายว่า HEMRAJ จะยังคงสามารถรักษารายได้จากการขายที่ดิน ตลอดจนรายได้จากธุรกิจการให้บริการและสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม และแม้ว่าการลงทุนในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระจะต้องใช้เงินส่วนทุนถึง 4,000 ล้านบาท แต่โครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้ที่แน่นอนให้แก่บริษัทต่อไปในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า HEMRAJ เป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทนิคมอุตสาหกรรมของไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2531 โดยกลุ่มตระกูลหอรุ่งเรือง ตระกูลศรีสมบูรณานนท์ และตระกูลอนันต์คูศรี ณ เดือนกันยายน 2550 กลุ่มตระกูลหอรุ่งเรืองถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 14.6% รองลงมา ได้แก่ Credit Agricole (Suisse) SA สาขาประเทศสิงคโปร์ (9.4%) และ บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (7.4%)
ปัจจุบัน HEMRAJ บริหารนิคมอุตสาหกรรมรวม 6 แห่งซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง ชลบุรี และสระบุรี ในช่วงปี 2548-2550 บริษัทขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมได้เฉลี่ยปีละ 897 ไร่ โดยจนถึงเดือนธันวาคม 2550 บริษัทขายที่ดินสะสมรวม 10,149 ไร่ ส่วนพื้นที่ที่เหลืออยู่ประมาณ 6,500 ไร่ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด (H-ESIE) นั้นมีเพียงพอที่จะรองรับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ภายในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของ HEMRAJ ยังคงดีกว่ายอดขายของนิคมอุตสาหกรรมโดยรวมอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 บริษัทขายที่ดินได้ถึง 848 ไร่ ซึ่งมากเกือบเป็น 3 เท่าของยอดขายในช่วงเดียวกันของปี 2549 ในขณะที่ยอดขายที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมโดยรวมอยู่ที่ 2,611 ไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับยอดขายในช่วงเดียวกันของปี 2549
บริษัทมีรายได้จากการขายที่ดินสำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 รวม 1,226 ล้านบาท ในขณะที่รายได้จากธุรกิจการให้บริการและสาธารณูปโภคจำนวนปีละ 800-1,000 ล้านบาททำให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่แน่นอนซึ่งช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม
การขยายสู่ธุรกิจพัฒนาอาคารชุดหรือคอนโดมิเนียมของบริษัทเป็นไปอย่างน่าพอใจเนื่องจากโครงการตั้งอยู่ในทำเลที่ดีบนถนนชิดลม บริษัทสามารถขายห้องชุดในโครงการ “เดอะพาร์ค" (The Park) ได้ถึง 81% และการก่อสร้างมีความคืบหน้า 92% ณ เดือนกันยายน 2550 โดยบริษัทเริ่มมีการโอนห้องชุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 ทั้งนี้ คาดว่าการโอนห้องชุดทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปี 2551
นอกจากนี้ บริษัทยังขยายธุรกิจสู่อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าด้วย บริษัท เก็คโค่-วัน จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างกลุ่มโกลว์และบริษัทในสัดส่วน 65:35 เป็นผู้ชนะการประมูลโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer -- IPP) และจะพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกำลังการผลิต 660 เมกะวัตต์ มูลค่ารวมประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 2555
ณ เดือนกันยายน 2550 เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 4,575 ล้านบาทซึ่งเป็นช่วงการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังคงอยู่ในระดับแข็งแรงที่ 37.8% ณ เดือนกันยายน 2550 ทั้งนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากมีการโอนห้องชุดให้แก่ลูกค้าในปี 2551
ทริสเรทติ้ง กล่าวว่า การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธันวาคม 2550 ช่วยบรรเทาความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองลงไปในระดับหนึ่ง และเป็นที่คาดหมายว่ารัฐบาลใหม่จะเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งนี้ ในระยะปานกลางถึงระยะยาว ภาพรวมของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมยังคงดีอยู่ โดยนโยบายส่งเสริมการลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงทำเลที่ตั้งที่ดีของประเทศไทยยังคงเป็นสิ่งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
อันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความสำเร็จในการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจการให้บริการและสาธารณูปโภค และฐานะทางการเงินที่แข็งแรงของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable"หรือ“คงที่"สะท้อนความคาดหมายว่า HEMRAJ จะยังคงสามารถรักษารายได้จากการขายที่ดิน ตลอดจนรายได้จากธุรกิจการให้บริการและสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม และแม้ว่าการลงทุนในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระจะต้องใช้เงินส่วนทุนถึง 4,000 ล้านบาท แต่โครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้ที่แน่นอนให้แก่บริษัทต่อไปในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า HEMRAJ เป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทนิคมอุตสาหกรรมของไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2531 โดยกลุ่มตระกูลหอรุ่งเรือง ตระกูลศรีสมบูรณานนท์ และตระกูลอนันต์คูศรี ณ เดือนกันยายน 2550 กลุ่มตระกูลหอรุ่งเรืองถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 14.6% รองลงมา ได้แก่ Credit Agricole (Suisse) SA สาขาประเทศสิงคโปร์ (9.4%) และ บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (7.4%)
ปัจจุบัน HEMRAJ บริหารนิคมอุตสาหกรรมรวม 6 แห่งซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง ชลบุรี และสระบุรี ในช่วงปี 2548-2550 บริษัทขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมได้เฉลี่ยปีละ 897 ไร่ โดยจนถึงเดือนธันวาคม 2550 บริษัทขายที่ดินสะสมรวม 10,149 ไร่ ส่วนพื้นที่ที่เหลืออยู่ประมาณ 6,500 ไร่ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด (H-ESIE) นั้นมีเพียงพอที่จะรองรับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ภายในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของ HEMRAJ ยังคงดีกว่ายอดขายของนิคมอุตสาหกรรมโดยรวมอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 บริษัทขายที่ดินได้ถึง 848 ไร่ ซึ่งมากเกือบเป็น 3 เท่าของยอดขายในช่วงเดียวกันของปี 2549 ในขณะที่ยอดขายที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมโดยรวมอยู่ที่ 2,611 ไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับยอดขายในช่วงเดียวกันของปี 2549
บริษัทมีรายได้จากการขายที่ดินสำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 รวม 1,226 ล้านบาท ในขณะที่รายได้จากธุรกิจการให้บริการและสาธารณูปโภคจำนวนปีละ 800-1,000 ล้านบาททำให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่แน่นอนซึ่งช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม
การขยายสู่ธุรกิจพัฒนาอาคารชุดหรือคอนโดมิเนียมของบริษัทเป็นไปอย่างน่าพอใจเนื่องจากโครงการตั้งอยู่ในทำเลที่ดีบนถนนชิดลม บริษัทสามารถขายห้องชุดในโครงการ “เดอะพาร์ค" (The Park) ได้ถึง 81% และการก่อสร้างมีความคืบหน้า 92% ณ เดือนกันยายน 2550 โดยบริษัทเริ่มมีการโอนห้องชุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 ทั้งนี้ คาดว่าการโอนห้องชุดทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปี 2551
นอกจากนี้ บริษัทยังขยายธุรกิจสู่อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าด้วย บริษัท เก็คโค่-วัน จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างกลุ่มโกลว์และบริษัทในสัดส่วน 65:35 เป็นผู้ชนะการประมูลโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer -- IPP) และจะพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกำลังการผลิต 660 เมกะวัตต์ มูลค่ารวมประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 2555
ณ เดือนกันยายน 2550 เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 4,575 ล้านบาทซึ่งเป็นช่วงการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังคงอยู่ในระดับแข็งแรงที่ 37.8% ณ เดือนกันยายน 2550 ทั้งนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากมีการโอนห้องชุดให้แก่ลูกค้าในปี 2551
ทริสเรทติ้ง กล่าวว่า การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธันวาคม 2550 ช่วยบรรเทาความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองลงไปในระดับหนึ่ง และเป็นที่คาดหมายว่ารัฐบาลใหม่จะเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งนี้ ในระยะปานกลางถึงระยะยาว ภาพรวมของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมยังคงดีอยู่ โดยนโยบายส่งเสริมการลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงทำเลที่ตั้งที่ดีของประเทศไทยยังคงเป็นสิ่งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ