บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้มีการค้ำประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (PSH) ที่ระดับ "A" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,500 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A" ด้วยเช่นกัน หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการค้ำประกันอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่อาจเพิกถอนได้โดย บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งที่ระดับ "A" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" หุ้นกู้มีการค้ำประกันดังกล่าวมีสิทธิเท่าเทียมกันกับหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปทดแทนหุ้นกู้ของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนมีนาคม 2562 และใช้ในการดำเนินงาน
อันดับเครดิตสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทในฐานะบริษัทโฮลดิ้งของกลุ่ม โดยมีบริษัทย่อยที่สำคัญของกลุ่มคือบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท ซึ่งบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 98.23% นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงรายได้จากเงินปันผลที่บริษัทได้รับจากบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทด้วย ทั้งนี้ หลังจากการปรับโครงสร้างกิจการในปี 2559 ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท ดังนั้น บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จึงถือเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของกลุ่ม ด้วยเหตุนี้ อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทจึงเท่ากับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท
อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยที่ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท เป็นผลมาจากความหลากหลายของสินค้า ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน และยอดขายรอการส่งมอบจำนวนมากที่ช่วยสนับสนุนรายได้ของบริษัทในอนาคตได้ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของกลุ่มบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง ความผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนผลกระทบจากเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทเท่ากับ 44,000-47,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2559-2561 โดยรายได้จากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสูงที่สุดในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทย รายได้จากทาวน์เฮ้าส์ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทมีสัดส่วนประมาณ 50% ของรายได้จากการดำเนินงานรวม ในขณะที่รายได้จากคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวคิดเป็น 30% และ 20% ตามลำดับ ทั้งนี้ ในสมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ระดับสูงกว่า 45,000 ล้านบาทต่อปี โดยทาวน์เฮ้าส์จะยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทต่อไป
ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนาประมาณ 200 โครงการ โดยจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายทั้งหมด (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) มีมูลค่า 100,470 ล้านบาท โดยโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ (รวมโครงการทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยว) คิดเป็น 76% ของมูลค่าเหลือขาย ที่เหลือเป็นโครงการคอนโดมิเนียม และมียอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่าประมาณ 33,000 ล้านบาทซึ่งจะช่วยประกันรายได้ของบริษัทส่วนหนึ่งได้ในอนาคตในช่วงปี 2562 จนถึงปี 2564
อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้คาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี ทั้งนี้ แม้บริษัทจะขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็วและลงทุนในธุรกิจสถานพยาบาล แต่ก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50% เอาไว้ได้ ณ เดือนธันวาคม 2561 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเท่ากับ 41%
ตามงบการเงินรวมของบริษัทพฤกษา โฮลดิ้ง สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังคงมีเพียงพอ โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีเงินสดจำนวน 1,445 ล้านบาทและมีวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 8,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาทด้วย บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 14,754 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 6,400 ล้านบาทและเงินกู้ระยะสั้นจากธนาคารจำนวน 8,354 ล้านบาท
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่ดีเอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้าอีกทั้งบริษัทย่อยจะสามารถส่งมอบยอดขายที่อยู่อาศัยที่รอรับรู้รายได้จำนวนมากได้ตามแผน แม้การแข่งขันในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัยจะทวีความรุนแรงแต่ก็คาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 15% รวมทั้งรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนทั้งของบริษัทและของบริษัทลูกให้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50%
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตของบริษัทจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของกลุ่มบริษัท หากการลงทุนในธุรกิจใหม่ประสบผลสำเร็จก็จะส่งผลดีต่อกลุ่มบริษัท ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในทางลบหากการลงทุนในธุรกิจใหม่ของบริษัทโฮลดิ้งส่งผลให้สถานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทอ่อนแอลง