นายสุรชัย โฆษิตเสรีวงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EDITDA) ปีนี้จะเติบโตมากกว่า 30% จากปีก่อนอยู่ที่ 10,202 ล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจ
โดยธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน คาดมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 12% มาอยู่ที่ 1.15 แสนบาร์เรล/วัน จากปีก่อนอยู่ที่ 1.02 แสนบาร์เรล/วัน เนื่องจากไม่มีการเปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นเหมือนในปีก่อนที่ปิดไป 45 วัน ทำให้สามารถเดินเครื่องกำลังการผลิตได้เต็มปี ขณะที่ค่าการกลั่น (GRM) ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังมีความผันผวนของราคาน้ำมัน แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงปลายปีนี้สถานการณ์น้ำมันน่าจะเริ่มดีขึ้น ขณะเดียวกันมองแนวโน้มราคาน้ำมันดิบปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 60-70 เหรียญฯ/บาร์เรล
ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายในกลุ่มรีเทลเติบโต 9% จากปีก่อนที่มียอดขายอยู่ที่ 484 ล้านบาท โดยมีแผนขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มอีก 70 แห่ง แบ่งเป็น สถานีบริการทั่วไป 65 แห่ง และปั๊มสหกรณ์บริการ (COOP) อีก 5 แห่ง ตั้งเป้ามียอดขายน้ำมันในปีนี้ที่ 5.7 ล้านลิตร/เดือน ซึ่งจะยังรักษาระดับมาร์เก็ตแชร์ให้อยู่ในอันดับ 2 ต่อไป รวมถึงบริการจัดการธุรกิจ Non-oil ให้ผลประกอบการยังเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยปีนี้มีแผนเพิ่ม SPAR อีก 20 สาขา เป็น 65 สาขา และร้านกาแฟ Inthanin อีก 200 สาขา เป็น 732 สาขา
ด้านธุรกิจไฟฟ้า ในปีนี้จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นทั้งโครงการในประเทศไทยและในประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ BCPG ก็อยู่ระหว่างศึกษาและการเจรจาลงทุนโครงการอื่นๆ เพิ่มเติมอีก และธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ หรือ Bio-Based Product ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตทั้งเอทานอลและไบโอดีเซลเป็น 30% หรือประมาณ 2 ล้านลิตร/วัน และนอกเหนือจากการทำ Biofuel แล้ว บริษัทฯ ยังมองโอกาสลงทุนในธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยได้ร่วมเซ็นสัญญาศึกษาวิจัย Bio-Based Product ต่างๆ และอาหารเสิรมต่างๆ รวมถึงจะบริหารจัดการ Raw material ให้มีมาร์จิ้นอยู่ในระดับที่ดีขึ้นจากปีก่อน
ส่วนธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ บริษัทฯ จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของ OKEA เข้ามาเต็มปี (ตามสัดส่วนการถือหุ้น 49%) หรือคิดเป็น 15-25 ล้านเหรียญฯ โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 20,000 บาร์เรลต่อวัน มาจากแหล่งน้ำมันดิบ Draugen และ Gjoa
นอกจากนี้บริษัทฯ วางงบลงทุนในปีนี้ไว้ที่ 14,000 ล้านบาท โดยจะใช้ในการปรับปรุงโรงกลั่นปกติ และในโครงการ 3E จำนวน 7,200 ล้านบาท, การขยายสถานีบริการ จำนวน 1,600 ล้านบาท, BCPG จำนวน 3,100 ล้านบาท, Bio-Based Product จำนวน 1,900 ล้านบาท และอื่นๆอีก 200 ล้านบาท
นายสุรชัย กล่าวถึงแผนการนำบมจ. บีบีจีไอ (BBGI) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 62 นั้น อาจจะเลื่อนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นปี 63 แทน เนื่องจากผลประกอบการโดยเฉพาะกำไรสุทธิออกมาต่ำการคาดการณ์ ขณะที่บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างพิจารณาหาพันธมิตรร่วมทุน หรือขายแหล่งปิโตรเลียมของ NIDO ในประเทศฟิลิปปินส์ เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้น่าจะมีผู้สนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้มากขึ้น