บมจ.ไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม(TIES)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทอยู่ระหว่างวางแผนธุรกิจปี 51 คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือน ก.พ.นี้ โดยมองว่าภาวะรวมในปีนี้น่าจะดีขึ้นกว่าปีก่อน ซึ่งบริษัทได้ปรับกลยุทธ์รับสถานการณ์ต้นทุนที่มีความผันผวน เน้นรับงานที่มีมาร์จิ้นที่เหมาะสม และการปรับปรุงองค์กรให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ไม่เน้นการเติบโตเพียงด้านเดียว
นายอัศวิน ชินกำธรวงศ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TIES กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคงจะขยายตัวไม่มากเท่าปี 50 เนื่องจากมีปัจจัยกดดันสำคัญ คือ ต้นทุนราคาวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะราคาเหล็กเส้นที่เป็นวัสดุสำคัญปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการก่อสร้างสูง จนต้องเน้นรอบคอบในการรับงานให้เหมาะสม
"ปีที่แล้วเราขยายมากเกินไป แต่ปีนี้ปรับลดอัตราการขยายตัวลงมาหน่อย แล้วมาปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และคิดว่าถ้าเราทำได้ตามนี้ผลประกอบการก็น่าจะอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ"นายอัศวิน กล่าว
สำหรับปี 50 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 1.8 พันล้านบาท เติบโตถึงราว 50% จากปี 49 ที่มีรายได้ 1.2 พันล้านบาท
"ตัวเลขรายรับก็คงประมาณนั้นแหละ แต่ถ้าจะให้ภาพชัดเจนขึ้นคงต้องอีกสักพัก"นายอัศวิน กล่าว
ซีอีโอ TIES กล่าวอีกว่า บริษัทเน้นปรับองค์กรให้มีประสิทธิภาพ เลือกรับงานที่มี Gross Margin เหมาะสม หากงานไหนมี Gross Margin ต่ำมากๆ ก็ไม่เข้าไปรับ เพราะไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะจากต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มกลับมารับงานใหม่แล้ว หลังจากที่ชะลอไปในช่วงก่อนหน้านี้
"เรื่องราคาเหล็กเป็นปัจจัยที่คุมไม่ได้ ราคาเหล็กขึ้นเป็นรายอาทิตย์เลย บางทีจองของไป เอาเข้าจริงไม่มีของ เพราะฉะนั้นมีทางเดียวคือ ปรับลดลงมา อย่าไปขยายมาก เพราะมันเสี่ยง ถ้าจะให้ไปได้ต้องพิจารณาในมุมกว้างๆและรอบคอบ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราชะลอรับงานเมื่อตอนไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา เพราะมีทั้งเรื่องการเมือง ราคาน้ำมัน ราคาวัสดุก่อสร้างขึ้นมาก โดยเฉพาะราคาเหล็กเส้น แต่ตอนนี้เริ่มกลับมารับงานแล้ว"นายอัศวิน กล่าว
ล่าสุด TIES เพิ่งได้รับงาน 2 โครงการ มูลค่า 211.86 ลบ. ได้แก่ โครงการต่อเติมอาคารโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต มูลค่า 164.78 ล้านบาท และ โครงการ NPT NEW RASIN PLANT จังหวัดชลบุรี เจ้าของโครงการ คือ บริษัท นิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่า 47.08 ล้านบาท
"งานที่ได้รับเป็นงานใหม่ เป็นงานที่เราปรับตามราคาต้นทุนใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน...คิดดูแล้วกัน เมื่อกลางปีที่แล้วราคาเหล็กอยู่ที่ 18 บาท/กก. แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 27-28 บาท/กก. แค่ 6 เดือนราคาปรับตัวขึ้นมากว่า 50% แล้ว ถ้าใครมีงาน มี Backlog เยอะๆจะทำยังไง คงลำบาก เพราะฉะนั้นสำหรับผู้รับเหมาปัจจัยเสี่ยงที่ต้องตระหนักให้ดีที่สุดคือเรื่องราคาวัสดุ โดยเฉพาะเหล็กเส้นซึ่งเป็นวัสดุหลักซะด้วยสิ"นายอัศวิน กล่าว
นายอัศวิน กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีงานที่รอผลประมูลอยู่เรื่อยๆ เป็นงานในประเทศทั้งหมด แต่เราก็จำเป็นต้องตั้งกฎเกณฑ์ของตัวเองไว้ และยังไม่มีแผนจะไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะยังไม่มีประสบการณ์และความพร้อมเพียงพอ โดยสิ่งที่ต้องทำเวลานี้ คือ ขอรอดูรัฐบาลใหม่ว่าใครจะมาดูแลเรื่องเศรษฐกิจ ดูแลเรื่องต้นทุนของผู้ประกอบการ
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--