นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรออสเตรเลียเพื่อขยายการลงทุนโครงการบ้านจัดสรรในประเทศออสเตรเลียเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 62 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรในประเทศออสเตรเลียรวมแล้ว 9 โครงการ ใน 4 เมือง มูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านบาท และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยปี 61 ที่ผ่านมา บริษัทมีส่วนแบ่งที่มาจากการลงทุนในออสเตรเลียที่เป็นกำไรกว่า 5% ของกำไรรวมบริษัท และมีสัดส่วนรายได้ราว 1% ของรายได้รวม ซึ่งให้อัตราผลตอบแทน (IRR) ที่ระดับ 20%
นอกจากนี้บริษัทยังมีความสนใจขยายการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตของบริษัท และกระจายความเสี่ยง พร้อมกับสร้างโอกาสในการเติบโตในอนาคต จากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศต่ำกว่า 5% โดยที่การลงทุนในต่างประเทศจะมีการลงทุนในสัดส่วนไม่เกิน 10% ของสินทรัพย์รวมบริษัทจากปัจจุบันอยู่ที่ 5% ของสินทรัพย์รวมทั้งบริษัทราว 5 หมื่นล้านบาท
ด้านแผนการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 1/62 แผนเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1.5 หมื่นล้านบาท โดยได้เปิดไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ คอนโดมิเนียมศุภาลัย ไพร์ม พระราม 9 และโครงการแนวราบ 1 โครงการ ส่วนอีก 4 โครงการซึ่งเป็นโครงการแนวราบทั้งหมดจะทยอยเปิดในเดือนมี.ค.นี้ ขณะที่การโอนโครงการในไตรมาส 1/62 ส่วนใหญ่จะเป็นการโอนโครงการเดิมต่อเนื่องจากปีก่อน และมีโครงการใหม่ที่เริ่มโอนตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาเข้ามาบางส่วน ได้แก่ โครงการ ศุภาลัย ไลท์ รัชดาฯ-นราธิวาส-สาทร มูลค่า 2.26 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าแนวโน้มยอดโอนในไตรมาส 1/62 ยังจะเติบโตได้ต่อเนื่อง และยังมั่นใจว่ารายได้ในปี 62 จะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ 2.8 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 7% จากปีก่อน
ส่วนมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัทที่มีอยู่กว่า 4.25 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน จะทยอยโอนจะทยอยโอนในปี 62 จำนวน 1.34 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือทยอยโอนไปจนถึงปี 65 ด้านเป้าหมายยอดขายในปีนี้ที่ตั้งไว้ 3.5 หมื่นล้านบาท ยังมั่นใจทำได้โดยปีนี้มีแผนเปิดโครงการใหม่รวม 34 โครงการ มูลค่ารวม 4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ 6 โครงการ โครงการแนวราบในกรุงเทพฯ 13 โครงการ และโครงการแนวราบในต่างจังหวัด 15 โครงการ โดยมีที่ดินรองรับไว้หมดแล้ว
ส่วนโครงการ Supalai Icon สาทร มูลค่าราว 2 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายในช่วงปลายเดือนเม.ย. โดยในส่วนของคอนโดมิเนียมมีจำนวนกว่า 700 ยูนิต ขนาด 40-800 ตารางเมตร ราคาขายเฉลี่ยราว 2 แสนบาท/ตารางเมตร นอกจากนี้ในโครงการดังกล่าวยังมีพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานและพื้นที่เช่าค้าปลีกอีกด้วย
ด้านกลยุทธ์การรุกขยายการพัฒนาโครงการในภูมิภาคต่าง ๆ ในประเทศ บริษัทยังคงมองหาโอกาสขยายการลงทุนเพิ่มเติมไปยังหัวเมืองหลักตามภูมิภาคที่เป็นศูนย์กลางของธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยในปี 62 จะพัฒนาในจังหวัดใหม่ ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก รวมทั้งเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ในจังหวัดที่ได้เข้าไปลงทุนแล้ว ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ อุดรธานี ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง อุบลราชธานี นครราชสีมา สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช เนื่องจากมีความมั่นใจว่าจังหวัดดังกล่าวมีพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทเน้นการลงทุนในระยะยาว ส่งผลให้มีสัดส่วนยอดขายในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็น 27% ของเป้าการขายรวมของกลุ่มบริษัท
นายราชัย ปิยวาจานุสรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการภูมิภาค 1 SPALI กล่าวว่า ด้วยจุดแข็งที่โดดเด่นของจังหวัดเชียงราย ที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจการค้า กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา และสปป.ลาว รวมทั้งยังมีความพร้อมระบบการคมนาคมขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นธุรกิจที่น่าลงทุนและสามารถเติบโตในทิศทางที่ดี โดยเดือนพ.ย. 61 บริษัทได้เข้าไปลงทุนเปิดโครงการแรก คือ ศุภาลัย พาร์ควิลล์ แม่กรณ์-เชียงราย เป็นบ้านเดี่ยว และบ้านรุ่นใหม่ สไตล์ Modern-Contemporary พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก สามารถกวาดยอดขายกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ประเภทบ้านเดี่ยวที่มีขนาด 60 ตารางวาขึ้นไป
สำหรับโครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ 86 ไร่ ขนาด 3-4 ห้องนอน จำนวน 2-5 ห้องน้ำ และที่จอดรถจำนวน 2 คัน มีพื้นที่ใช้สอยเริ่ม 122-318 ตารางเมตร มีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 2.85 ล้านบาท นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการในเชียงราย ได้แก่ โครงการศุภาลัย เบลล่า แม่กรณ์-เชียงราย และ ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ นางแล-เชียงราย มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท บนทำเลศักยภาพและพัฒนาแบบบ้านที่มีความหลากหลายมากขึ้น
สำหรับผลประกอบการในปี 61 บริษัทมียอดขาย 3.33 หมื่นล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการทั้งหมด 25 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 22 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ โดยมีรายได้รวม 2.58 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 5.77 พันล้านบาท