นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 20% จากระดับ 1.42 พันล้านบาทในปีก่อน จากแผนการดำเนินธุรกิจที่จะเน้นรุกขยายตลาดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรี่ส์อินเดีย-ฟิลิปปินส์ ไปยังตลาดอาเซียนในทุกแพลตฟอร์มให้มากยิ่งขึ้น ด้วยแนวคิดการตลาด ‘ซูเปอร์สตาร์มาร์เก็ตติ้ง’ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้ โดยบริษัทได้ใช้งบเงินลงทุนกว่า 800 ล้านบาท ซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์เพิ่มเติมเพื่อรองรับแผนงานการขยายธุรกิจทั้งต่างประเทศและในประเทศ
นอกจากนี้ยังมีแผนขยายตลาดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปยังประเทศเวียดนาม มาเลเซีย บรูไนและไต้หวันเพิ่มเติม เนื่องจากตลาดต่างประเทศถือเป็น Blue Ocean ที่ JKN มีโอกาสนำลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในมือไปสร้างฐานรายได้ให้เติบโตได้อีกมาก หลังจากปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการทำตลาดในประเทศเมียนมา ลาวและกัมพูชา ที่ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ให้ความสนใจซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปออกอากาศ ส่งผลสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 20% จากรายได้รวมในปีที่ผ่านมาและปีนี้คาดว่าสัดส่วนรายได้จะเพิ่มเป็น 30%
นายจักรพงษ์ กล่าวว่า ก้าวต่อไปของการเติบโตทางธุรกิจของ JKN จะเป็นการยกระดับบริษัทขึ้นไปสู่ระดับภูมิภาค (Regional Company) ซึ่งการก้าวขึ้นไปสู่ระดับดังกล่าวนั้นบริษัทจะต้องปรับสัดส่วนรายได้ในประเทศและต่างประเทศให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน หรือมีสัดส่วนรายได้ในประเทศและต่างประเทศเป็น 50:50 ในช่วง 3-5 ปี โดยที่ในสิ้นปีนี้สัดส่วนรายได้ในประเทศและต่างประเทศจะอยู่ที่ 70:30 ซึ่งการขยายสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศนั้นบริษัทจะยังคงเดินหน้าการนำคอนเทนต์ต่าง ๆ ออกไปนำเสนอในงานแสดงต่าง ๆ ในต่างประเทศ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น
ขณะเดียวกันบริษัทมีความตั้งใจที่จะนำคอนเทนต์ที่เป็นละครและภาพยนตร์ไทยออกไปจัดจำหน่ายในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อทำให้ละครและภาพยนตร์ของไทยเป็นที่รู้จักแพร่หลายในภูมิภาค ซึ่งบริษัทได้เป็นพันธมิตรกับช่อง 3 ในการจัดจำหน่ายละครของทางช่อง 3 ไปยังต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เดินหน้าทำการตลาดในการจัดจำหน่ายละครของช่อง 3 ที่ได้รับสิทธิ์มาอย่างต่อเนื่อง โดยที่บริษัทมีความคาดหวังอยากให้คอนเทนต์ของไทยก้าวขึ้นเป็นคอนเทนต์ที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค จากปัจจุบันที่เจ้าตลาดของคอนเทนต์ในเอเชียที่เกี่ยวข้องกับซีรีย์และภาพยนตร์ ได้แก่ เกาหลีใต้ อินเดีย จีน และญี่ปุ่น ตามลำดับ
นอกจากนี้บริษัทยังมีการศึกษาโอกาสในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็น Regional Company ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งได้มีการปรึษาที่ปรึษาทางการเงินต่าง ๆ เพื่อดูแนวทางในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งยังมีการศึกษาการที่จะจัดตั้งบริษัทในสิงคโปร์หรือฮ่องกงเพื่อมารองรับงานขายคอนเทนต์ในภูมิภาค เนื่องจากปัจจุบันการติดต่อธุรกิจด้านการซื้อ-ขายคอนเทนต์ บริษัทชั้นนำด้านการผลิตคอนเทนต์ระดับโลกได้มาตั้งบริษัทในสิงคโปร์ และฮ่องกงเป็นจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นบริษัทในการติดต่อซื้อ-ขาย ทำให้บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสในเรื่องดังกล่าว และหากจะมีการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศในอนาคต บริษัทอาจจะต้องมีการปรับโครงสร้างบริษัทเป็น Holding Company เพื่อมารองรับ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา
ส่วนการลงทุนในปี 62 บริษัทจะใช้เงินลงทุนรวมทั้งหมด 900 ล้านบาท แบ่งเป็น การใช้ซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากต่างประเทศ 800 ล้านบาท การลงทุนด้านพัฒนาสตูดิโอและอุปกรณ์ของ JKN CNBC ที่ 50 ล้านบาท และการลงทุนพัฒนาระบบภายใน 50 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมการลงทุนผลิตโปรเจ็คยักษ์ซีรี่ย์ "สยามรามเกียรติ์" ที่จะเริ่มถ่ายทำในปี 62 และพร้อมออกอากาศในปี 63 โดยที่การผลิตสยามรามเกียรติ์ คาดว่าหากมีการลงทุนที่ค่อนข้างมากจะพิจารณาออกหุ้นกู้หลักร้อยล้านบาทในปีนี้เพื่อมารองรับ ซึ่งบริษัทมีวงเงินออกหุ้นกู้ที่ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้ว 1.5 พันล้านบาท และได้ใช้ไปแล้ว 900 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเงินลงทุนที่ต้องใช้ในการผลิตสยามรามเกียรติ์ โดยจะเป็นเงินลงทุนที่มาจากพันธมิตรส่วนหนึ่งด้วย
สำหรับการออกอากาศรายการข่าวของ JKN CNBC จะเริ่มออกอากาศในช่องพันธมิตรทีวีดิจิทัลในช่วงเดือนมิ.ย.นี้ โดยที่ในช่วงครึ่งปีแรกของการเริ่มดำเนินงานของ JKN CNBC ได้ตั้งเป้ารายได้ 3-5% ของรายได้รวมของบริษัทแม่ ซึ่งคาดว่าจะได้ตามเป้า พร้อมกับวางแผนจัดงาน JKN CNBC WEALTH EXPO 2020 ซึ่งเป็นงานที่จะนำการลงทุนต่าง ๆ มานำเสนอกับนักลงทุนพร้อมกับการให้ความรู้นักลงทุน ซึ่งเป็นการย้ำภาพลักษณ์ที่ชัดเจนของการเป็นส่วนหนึ่งของรายการข่าวระดับโลกอย่าง CNBC อีกทั้ง JKN CNBC ยังมีการผลิตรายการส่งไปออกอากาศใน CNBC ASIA อีกด้วย